Shopping cart






ศิลปะ AI ต้องคำสาป! คนไทยดูแล้วคลั่ง


ศิลปะ AI ต้องคำสาป! คนไทยดูแล้วคลั่ง

สารบัญ

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา กระแสการสร้างสรรค์ผลงานศิลปะด้วยปัญญาประดิษฐ์ หรือ ศิลปะ AI ได้รับความสนใจอย่างกว้างขวางทั่วโลก รวมถึงในประเทศไทยด้วยเช่นกัน เทคโนโลยีนี้ได้เปิดพรมแดนใหม่แห่งการสร้างสรรค์ที่น่าทึ่ง แต่ในขณะเดียวกันก็จุดประกายให้เกิดการถกเถียงและคำถามมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับปรากฏการณ์ที่ถูกกล่าวขานในวงกว้างว่า ศิลปะ AI ต้องคำสาป! คนไทยดูแล้วคลั่ง ซึ่งสะท้อนถึงความซับซ้อนและผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากเทคโนโลยีนี้

ประเด็นสำคัญที่น่าสนใจ

  • ปรากฏการณ์ทางสังคม: วลี “ศิลปะ AI ต้องคำสาป” ไม่ได้หมายถึงอาถรรพณ์เหนือธรรมชาติ แต่เป็นคำเปรียบเปรยถึงผลกระทบทางจิตวิทยาและอารมณ์ที่รุนแรง ซึ่งเกิดจากภาพที่ดูสมจริงแต่แฝงความผิดเพี้ยนจนน่าขนลุก (Uncanny Valley)
  • เทคโนโลยี AI สร้างภาพ: ศิลปะ AI เกิดขึ้นจากโมเดลการเรียนรู้เชิงลึกที่วิเคราะห์ข้อมูลภาพมหาศาลเพื่อสร้างสรรค์ผลงานใหม่ ซึ่งมีความสามารถในการเลียนแบบสไตล์ศิลปะต่างๆ ได้อย่างน่าทึ่ง แต่ยังขาดเจตจำนงและความเข้าใจเชิงความหมายอย่างแท้จริง
  • ผลกระทบต่อมนุษย์: การมาถึงของศิลปะ AI ก่อให้เกิดทั้งความท้าทายและโอกาส ตั้งแต่การตั้งคำถามถึงคุณค่าของความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์ ไปจนถึงความกังวลเกี่ยวกับวิกฤตสุขภาพจิตในกลุ่มศิลปินที่อาจถูกแทนที่ด้วยเทคโนโลยี
  • ความแตกต่างเชิงปรัชญา: ศิลปะจากมนุษย์มีรากฐานมาจากประสบการณ์ อารมณ์ และเจตจำนง ในขณะที่ศิลปะ AI เป็นผลลัพธ์ของการคำนวณทางสถิติ ซึ่งนำไปสู่การถกเถียงเกี่ยวกับ “จิตวิญญาณ” ในงานศิลปะ
  • อนาคตและจริยธรรม: สังคมจำเป็นต้องร่วมกันกำหนดแนวทางและกรอบจริยธรรมในการใช้เทคโนโลยี AI สร้างภาพ เพื่อส่งเสริมประโยชน์และลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น ทั้งในมิติของลิขสิทธิ์ การจ้างงาน และผลกระทบต่อวัฒนธรรม

บทความนี้จะสำรวจปรากฏการณ์ “ศิลปะ AI ต้องคำสาป! คนไทยดูแล้วคลั่ง” อย่างเจาะลึก โดยวิเคราะห์ตั้งแต่ต้นตอของกระแสไวรัลนี้ ไปจนถึงเทคโนโลยีเบื้องหลัง ผลกระทบทางจิตวิทยาและสังคม การเปรียบเทียบกับศิลปะที่สร้างโดยมนุษย์ และทิศทางในอนาคตของ AI ในวงการศิลปะไทย เพื่อสร้างความเข้าใจที่ครอบคลุมเกี่ยวกับนวัตกรรมที่กำลังเปลี่ยนโฉมหน้าโลกแห่งความคิดสร้างสรรค์อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

ถอดรหัสปรากฏการณ์ “ศิลปะ AI ต้องคำสาป”

ปรากฏการณ์ที่ถูกกล่าวถึงอย่างแพร่หลายบนโลกออนไลน์เกี่ยวกับ “ศิลปะ AI ต้องคำสาป” นั้น ไม่ใช่เรื่องราวของไสยศาสตร์หรือคำสาปแช่งตามความเชื่อ แต่เป็นภาพสะท้อนของปฏิกิริยาทางสังคมและจิตวิทยาที่มนุษย์มีต่อเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ที่ก้าวล้ำเกินความคาดหมาย วลีดังกล่าวกลายเป็นคำอธิบายที่จับต้องง่ายสำหรับความรู้สึกซับซ้อนที่เกิดขึ้นเมื่อได้ชมผลงานที่สร้างโดย AI ซึ่งทั้งงดงาม น่าทึ่ง แต่ในขณะเดียวกันก็แฝงไปด้วยความแปลกประหลาดและน่าอึดอัดใจ

จากกระแสไวรัลสู่คำถามใหญ่ในสังคม

การที่วลีนี้กลายเป็นไวรัลสะท้อนให้เห็นถึงความรู้สึกร่วมกันของผู้คนจำนวนมากที่ได้สัมผัสกับผลงานจาก AI สร้างภาพ ความรู้สึก “คลั่ง” หรือ “หลอน” อาจหมายถึงความประทับใจอย่างรุนแรงจนถึงขั้นหมกมุ่น หรืออาจหมายถึงความรู้สึกไม่สบายใจเมื่อพบเห็นภาพที่ดูเหมือนจริงแต่กลับมีรายละเอียดที่ผิดเพี้ยนไปจากธรรมชาติ เช่น นิ้วมือที่มี 6 นิ้ว ดวงตาที่ไร้แวว หรือองค์ประกอบของภาพที่บิดเบี้ยวอย่างเหนือจริง

กระแสนี้ได้จุดประกายให้เกิดการตั้งคำถามที่สำคัญตามมา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของนิยามคำว่า “ศิลปะ” ที่เคยผูกโยงกับจิตวิญญาณและฝีมือของมนุษย์มาโดยตลอด ไปจนถึงความกังวลต่ออนาคตของศิลปินและนักสร้างสรรค์ในยุคที่เครื่องจักรสามารถผลิตผลงานที่สวยงามได้ในเวลาเพียงไม่กี่วินาที โครงการต่างๆ เช่น โครงการสมมติอย่าง “ศิลป์สร้างชาติ AI” ที่อาจได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐเพื่อส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีนี้ ยิ่งทำให้คำถามเหล่านี้มีความสำคัญและเร่งด่วนมากยิ่งขึ้น

ความรู้สึก “ไม่จริง” และหุบเขาแห่งความน่าพิศวง (Uncanny Valley)

หนึ่งในทฤษฎีทางจิตวิทยาที่สามารถอธิบายปรากฏการณ์ “ต้องคำสาป” ได้ดีที่สุดคือ “หุบเขาแห่งความน่าพิศวง” (Uncanny Valley) ทฤษฎีนี้อธิบายว่า เมื่อสิ่งที่ถูกสร้างขึ้น (เช่น หุ่นยนต์ หรือในที่นี้คือภาพ AI) มีความคล้ายคลึงกับมนุษย์หรือความเป็นจริงมากขึ้นเรื่อยๆ ระดับความรู้สึกชอบหรือการยอมรับของเราจะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย แต่เมื่อถึงจุดหนึ่งที่มัน “เกือบจะ” เหมือนจริง แต่ยังไม่ใช่ทั้งหมด ความรู้สึกของเราจะดิ่งลงเหวกลายเป็นความรู้สึกแปลกแยก น่าขนลุก และไม่ไว้วางใจ

ภาพจาก AI จำนวนมากตกอยู่ใน “หุบเขา” นี้พอดี มันสมจริงพอที่จะหลอกตาเราในแวบแรก แต่เมื่อพินิจดูรายละเอียด กลับพบความผิดปกติที่สมองของเราตรวจจับได้ ทำให้เกิดความขัดแย้งทางการรับรู้และสร้างความรู้สึกไม่สบายใจ ซึ่งอาจเป็นที่มาของคำว่า “ต้องคำสาป” นั่นเอง

ความรู้สึกนี้รุนแรงขึ้นเมื่อ AI สร้างภาพบุคคลหรือสิ่งมีชีวิต เพราะสมองมนุษย์ถูกวิวัฒนาการมาให้ไวต่อการรับรู้ใบหน้าและภาษากาย การพบเห็นภาพใบหน้าที่ดูเหมือนจริงแต่ไร้ซึ่งอารมณ์ที่แท้จริง หรือมีสรีระที่ผิดเพี้ยนไปเล็กน้อย จึงสามารถกระตุ้นความรู้สึกกลัวและแปลกแยกได้อย่างมาก

AI สร้างภาพ: นวัตกรรมหรือดาบสองคม?

เพื่อทำความเข้าใจปรากฏการณ์นี้ให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น จำเป็นต้องเข้าใจเทคโนโลยีเบื้องหลังการทำงานของ AI สร้างภาพ (AI Image Generation) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่มีทั้งศักยภาพอันน่าทึ่งและประเด็นท้าทายที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ

กระบวนการทำงานเบื้องหลังภาพสุดอลังการ

ศิลปะ AI ไม่ได้เกิดขึ้นจากความว่างเปล่า แต่เป็นผลลัพธ์จากโมเดลปัญญาประดิษฐ์ที่เรียกว่า “Generative Models” ซึ่งถูกฝึกฝนด้วยชุดข้อมูลขนาดมหึมา ประกอบด้วยรูปภาพและข้อความหลายพันล้านชุดจากอินเทอร์เน็ต โมเดลที่ได้รับความนิยมในปัจจุบันมี 2 ประเภทหลัก:

  1. Generative Adversarial Networks (GANs): ประกอบด้วย AI สองตัวที่ทำงานแข่งขันกัน ตัวหนึ่ง (Generator) ทำหน้าที่สร้างภาพขึ้นมา ส่วนอีกตัว (Discriminator) ทำหน้าที่ตรวจสอบว่าภาพนั้นเป็นของจริงหรือของปลอมที่สร้างขึ้น กระบวนการแข่งขันนี้ดำเนินไปเรื่อยๆ จนกระทั่ง Generator สามารถสร้างภาพที่สมจริงจน Discriminator แยกไม่ออก
  2. Diffusion Models: เป็นเทคโนโลยีที่ใหม่กว่า โดยโมเดลจะเรียนรู้กระบวนการย้อนกลับของการทำลายภาพ เริ่มจากการนำภาพต้นฉบับมาเติมสัญญาณรบกวน (noise) เข้าไปทีละน้อยจนภาพกลายเป็นเพียงจุดสุ่ม จากนั้น AI จะเรียนรู้วิธีการลบสัญญาณรบกวนเหล่านั้นออกเพื่อสร้างภาพที่คมชัดกลับคืนมา กระบวนการนี้ทำให้ AI สามารถสร้างภาพใหม่ที่มีความละเอียดและสมจริงสูงได้จากข้อความคำสั่ง (prompt)

เทคโนโลยีเหล่านี้ทำให้ใครก็ตามสามารถสร้างสรรค์ภาพที่ซับซ้อนและสวยงามได้เพียงแค่ป้อนคำสั่งด้วยภาษาปกติ ซึ่งเป็นการทลายกำแพงทางทักษะและเปิดโอกาสให้เกิดการแสดงออกทางความคิดสร้างสรรค์ในรูปแบบใหม่ๆ

ศักยภาพที่ไร้ขีดจำกัดของปัญญาประดิษฐ์

ศักยภาพของ AI สร้างภาพนั้นขยายไปไกลกว่าแค่การสร้างภาพสวยงาม มันสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ในหลากหลายอุตสาหกรรม ตั้งแต่การออกแบบผลิตภัณฑ์ การสร้างต้นแบบสถาปัตยกรรม การสร้างสื่อประกอบสำหรับโฆษณาและภาพยนตร์ ไปจนถึงการใช้ในวงการวิทยาศาสตร์เพื่อจำลองภาพโมเลกุลหรือวัตถุในอวกาศ นอกจากนี้ เทคโนโลยีบางอย่างยังพัฒนาไปถึงขั้นที่สามารถสร้างศิลปะที่โต้ตอบกับผู้ชมได้ (Interactive Art) ซึ่งมอบประสบการณ์ที่แปลกใหม่และน่าตื่นเต้นอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

ผลกระทบต่อจิตใจและวัฒนธรรม

การเข้ามาของศิลปะ AI ไม่ได้เป็นเพียงความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี แต่ยังส่งผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อสภาวะจิตใจของมนุษย์ บรรทัดฐานทางสังคม และโครงสร้างทางวัฒนธรรม การทำความเข้าใจผลกระทบเหล่านี้จึงเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะมาถึง

เมื่อศิลปะกระตุ้นอารมณ์รุนแรง: ความหลงใหลหรือความคลุ้มคลั่ง?

คำว่า “คลั่ง” ในบริบทของศิลปะ AI สามารถตีความได้สองแง่มุม ในแง่บวก มันคือความหลงใหลในความสามารถอันน่าทึ่งของเทคโนโลยีที่สามารถเนรมิตภาพจากจินตนาการให้กลายเป็นจริงได้อย่างรวดเร็ว ผู้คนอาจใช้เวลาหลายชั่วโมงในการทดลองป้อนคำสั่งต่างๆ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่สมบูรณ์แบบ เกิดเป็นชุมชนออนไลน์ขนาดใหญ่ที่แลกเปลี่ยนผลงานและเทคนิคกันอย่างคึกคัก

อย่างไรก็ตาม ในแง่ลบ ความสามารถในการสร้างภาพที่สมจริงเกินไปอาจนำไปสู่ปัญหาการเสพติด การหลีกหนีจากความเป็นจริง หรือการสร้างและเผยแพร่ข้อมูลเท็จ (Deepfakes) ที่แยกได้ยากจากของจริง นอกจากนี้ การได้เห็นภาพที่แปลกประหลาดและผิดธรรมชาติซ้ำๆ อาจส่งผลต่อการรับรู้ความเป็นจริงและสภาวะจิตใจในระยะยาวได้

วิกฤตสุขภาพจิตในหมู่ศิลปินและผู้เสพงานศิลป์

สำหรับชุมชนศิลปิน การมาถึงของ AI สร้างภาพได้ก่อให้เกิดความกังวลอย่างหนักหน่วง หลายคนรู้สึกว่าทักษะและความทุ่มเทที่สั่งสมมาตลอดชีวิตกำลังจะถูกลดทอนคุณค่าลง ความกลัวที่จะถูกแทนที่ด้วยเครื่องจักรอาจนำไปสู่ภาวะหมดไฟ ความเครียด และภาวะซึมเศร้า ซึ่งอาจเรียกได้ว่าเป็น วิกฤตสุขภาพจิต ขนาดย่อมในวงการสร้างสรรค์

นอกจากนี้ ประเด็นเรื่องลิขสิทธิ์ก็เป็นอีกหนึ่งปัญหาใหญ่ เนื่องจาก AI ถูกฝึกฝนจากผลงานของศิลปินจำนวนนับไม่ถ้วนบนอินเทอร์เน็ตโดยไม่ได้รับอนุญาต ทำให้เกิดคำถามว่าผลงานที่ AI สร้างขึ้นนั้นเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์หรือไม่ ความไม่ชัดเจนทางกฎหมายนี้ยิ่งสร้างความกดดันและความไม่มั่นคงให้กับศิลปินมากยิ่งขึ้น ในฝั่งผู้เสพงานศิลป์ การที่ไม่สามารถแยกแยะได้ว่าผลงานชิ้นใดสร้างโดยมนุษย์หรือ AI อาจทำให้เกิดความรู้สึกไม่ไว้วางใจและลดทอนคุณค่าของประสบการณ์ทางศิลปะลงได้

ศิลปะจากมนุษย์ ปะทะ ศิลปะจาก AI: ความแตกต่างที่สำคัญ

แม้ว่าผลลัพธ์สุดท้ายอาจดูคล้ายคลึงกัน แต่รากฐานและกระบวนการสร้างสรรค์ระหว่างศิลปะจากมนุษย์และศิลปะจาก AI นั้นแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง การทำความเข้าใจความแตกต่างเหล่านี้จะช่วยให้เราเห็นคุณค่าที่แท้จริงของแต่ละฝ่ายได้ชัดเจนขึ้น

ตารางเปรียบเทียบคุณลักษณะระหว่างศิลปะที่สร้างโดยมนุษย์และศิลปะที่สร้างโดยปัญญาประดิษฐ์ในมิติต่างๆ
คุณลักษณะ ศิลปะจากมนุษย์ (Human-Generated Art) ศิลปะจาก AI (AI-Generated Art)
ที่มาของแรงบันดาลใจ มาจากประสบการณ์ชีวิต อารมณ์ความรู้สึก ปรัชญา และปฏิสัมพันธ์ทางสังคม มาจากรูปแบบ (Patterns) และความสัมพันธ์ทางสถิติในชุดข้อมูลที่ใช้ฝึกฝน
กระบวนการสร้าง ใช้ทักษะทางกายภาพ ความอดทน การฝึกฝน และการตัดสินใจเชิงสร้างสรรค์ในทุกขั้นตอน เป็นการคำนวณทางคณิตศาสตร์ที่ซับซ้อนโดยใช้ฮาร์ดแวร์ประสิทธิภาพสูง
เจตจำนงและความหมาย ผู้สร้างมีเจตนาที่ชัดเจนในการสื่อสารแนวคิดหรืออารมณ์บางอย่างผ่านผลงาน ไม่มีเจตจำนงหรือความเข้าใจในความหมายของสิ่งที่สร้าง เป็นเพียงการสร้างภาพตามคำสั่ง
ความคิดริเริ่มและความเป็นต้นฉบับ สามารถสร้างสรรค์แนวคิดใหม่ๆ ที่ไม่เคยมีมาก่อนได้อย่างแท้จริง เป็นการผสมผสาน (Remix) หรือดัดแปลงจากข้อมูลที่มีอยู่แล้ว ไม่สามารถสร้างสิ่งใหม่ที่อยู่นอกเหนือข้อมูลได้
ความไม่สมบูรณ์แบบ ความผิดพลาดหรือร่องรอยจากฝีมือมนุษย์มักถูกมองว่าเป็นส่วนหนึ่งของเสน่ห์และเอกลักษณ์ ความผิดพลาด (Artifacts) เป็นผลมาจากข้อจำกัดของอัลกอริทึม และมักทำให้เกิดความรู้สึกแปลกประหลาด

อนาคตของศิลปะ AI กับสังคมไทย

การปรับตัวและนำเทคโนโลยี AI มาใช้ในบริบทของสังคมไทยจำเป็นต้องมีการพิจารณาอย่างรอบด้าน เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดและลดผลกระทบเชิงลบที่อาจตามมา

การประยุกต์ใช้ในมิติต่างๆ

ในอนาคตอันใกล้ เราอาจได้เห็นการนำศิลปะ AI มาใช้ในอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ของไทยมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นวงการภาพยนตร์ที่ใช้ AI ในการสร้างฉากหรือตัวละครแฟนตาซี, วงการโฆษณาที่ใช้ในการสร้างภาพประกอบอย่างรวดเร็ว, หรือแม้แต่วงการแฟชั่นที่ใช้ในการออกแบบลวดลายผ้าที่เป็นเอกลักษณ์ นอกจากนี้ AI ยังสามารถเป็นเครื่องมือช่วยให้ศิลปินมนุษย์ทำงานได้เร็วขึ้น หรือใช้ในการสำรวจแนวคิดใหม่ๆ ที่อาจเป็นไปได้ยากหากต้องลงมือทำเองทั้งหมด

อย่างไรก็ตาม การนำมาใช้จำเป็นต้องคำนึงถึงบริบททางวัฒนธรรมไทยด้วย การสร้างสรรค์ผลงานที่เคารพต่อความเชื่อและประเพณีอันดีงามจะเป็นกุญแจสำคัญในการทำให้เทคโนโลยีนี้เป็นที่ยอมรับในวงกว้าง

แนวทางการกำกับดูแลและจริยธรรม

เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้น สังคมไทยจำเป็นต้องเริ่มบทสนทนาอย่างจริงจังเกี่ยวกับแนวทางการกำกับดูแลการใช้ AI สร้างภาพ ประเด็นสำคัญที่ต้องพิจารณา ได้แก่:

  • การคุ้มครองลิขสิทธิ์: ควรมีกฎหมายที่ชัดเจนเพื่อคุ้มครองผลงานของศิลปินจากการถูกนำไปใช้ฝึกฝน AI โดยไม่ได้รับอนุญาต และกำหนดสถานะความเป็นเจ้าของของผลงานที่ AI สร้างขึ้น
  • การติดฉลาก (Labeling): ควรมีข้อกำหนดให้ผลงานที่สร้างโดย AI ต้องมีการระบุอย่างชัดเจน เพื่อป้องกันความสับสนและปัญหาการแอบอ้าง
  • การศึกษาและปรับทักษะ: ภาครัฐและสถาบันการศึกษาควรส่งเสริมการเรียนรู้และพัฒนาทักษะใหม่ๆ ให้กับบุคลากรในสายงานสร้างสรรค์ เพื่อให้สามารถทำงานร่วมกับ AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพ แทนที่จะถูกแทนที่
  • จริยธรรมการใช้งาน: สร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับจริยธรรมในการใช้ AI เพื่อไม่ให้เกิดการสร้างเนื้อหาที่เป็นอันตราย เช่น ข่าวปลอม ภาพลามกอนาจาร หรือเนื้อหาที่สร้างความเกลียดชัง

บทสรุปและทิศทางในอนาคต

ปรากฏการณ์ “ศิลปะ AI ต้องคำสาป! คนไทยดูแล้วคลั่ง” อาจเป็นเพียงวลีไวรัลที่สะท้อนความตื่นตะลึงและความกังวลต่อเทคโนโลยีใหม่ แต่เบื้องหลังของมันคือคำถามสำคัญเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ เทคโนโลยี และความคิดสร้างสรรค์ ศิลปะ AI ไม่ใช่สิ่งที่มี “คำสาป” ในตัวของมันเอง แต่เป็นเครื่องมืออันทรงพลังที่สามารถเป็นได้ทั้งคุณและโทษ ขึ้นอยู่กับว่ามนุษย์จะเลือกใช้งานมันอย่างไร

อนาคตไม่ได้อยู่ที่การต่อต้านหรือปฏิเสธเทคโนโลยี แต่อยู่ที่การเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับมันอย่างชาญฉลาด ศิลปินอาจต้องเปลี่ยนบทบาทจาก “ผู้สร้าง” เพียงอย่างเดียวมาเป็น “ผู้กำกับ” หรือ “ผู้ร่วมสร้าง” กับ AI ในขณะที่สังคมโดยรวมต้องร่วมกันสร้างกรอบกติกาและจริยธรรมที่รัดกุม เพื่อควบคุมให้เทคโนโลยีนี้พัฒนาไปในทิศทางที่สร้างสรรค์และเป็นประโยชน์ต่อมวลมนุษยชาติอย่างแท้จริง การทำความเข้าใจทั้งศักยภาพและข้อจำกัดของมัน คือก้าวแรกที่สำคัญที่สุดในการรับมือกับคลื่นแห่งการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่นี้


สั่งเสื้อ

ตุลาคม 2025
จ. อ. พ. พฤ. ศ. ส. อา.
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031