จองคิวก่อนเที่ยว? ไทยจ่อใช้โควต้าคุมนักท่องเที่ยว
- ภาพรวมแนวคิดการจำกัดจำนวนนักท่องเที่ยว
- ทำไมแนวคิดโควต้านักท่องเที่ยวจึงมีความสำคัญในเวลานี้
- เจาะลึกกลยุทธ์: เน้นคุณภาพมากกว่าปริมาณ
- การเตรียมความพร้อมสำหรับมหกรรมท่องเที่ยว Amazing Thailand Grand Tourism and Sports Year
- บทบาทของเทคโนโลยีในการบริหารจัดการการท่องเที่ยวสมัยใหม่
- ผลกระทบที่คาดการณ์: มุมมองของนักท่องเที่ยวและผู้ประกอบการ
- บทสรุปและแนวโน้มอนาคตของการท่องเที่ยวไทย
แนวคิดเรื่องการบริหารจัดการจำนวนนักท่องเที่ยวในประเทศไทยกำลังเป็นประเด็นที่ถูกหยิบยกขึ้นมาพิจารณาอย่างจริงจังอีกครั้ง โดยมีกระแสข่าวเกี่ยวกับการนำระบบโควต้ามาใช้ในพื้นที่ท่องเที่ยวยอดนิยม เพื่อควบคุมจำนวนนักท่องเที่ยวและส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน การเปลี่ยนแปลงนี้อาจส่งผลให้นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติต้องวางแผนการเดินทางล่วงหน้ามากขึ้น ซึ่งสะท้อนถึงทิศทางใหม่ของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยที่มุ่งเน้นคุณภาพมากกว่าปริมาณ
- การเปลี่ยนทิศทาง: ประเทศไทยกำลังพิจารณาเปลี่ยนนโยบายการท่องเที่ยว จากการเน้นปริมาณนักท่องเที่ยวจำนวนมหาศาล ไปสู่การดึงดูดนักท่องเที่ยวคุณภาพสูงที่ใช้จ่ายมากขึ้นและใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อม
- มาตรการควบคุม: แนวคิดเรื่องโควต้านักท่องเที่ยว (Tourist Quota) และระบบการจองล่วงหน้า (Advance Reservation) ถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นเครื่องมือสำคัญในการจัดการปัญหาความแออัด (Overtourism) ในแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยม
- การเตรียมการสำหรับอนาคต: นโยบายนี้สอดคล้องกับการเตรียมความพร้อมสำหรับแคมเปญส่งเสริมการท่องเที่ยวครั้งใหญ่ “Amazing Thailand Grand Tourism and Sports Year” ในปี 2568-2569 ซึ่งมุ่งสร้างประสบการณ์ที่น่าประทับใจและยั่งยืน
- เทคโนโลยีเป็นตัวขับเคลื่อน: มีการนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) เข้ามาสนับสนุน ทั้งในด้านการรักษาความปลอดภัยและการบริหารจัดการข้อมูล ซึ่งอาจมีบทบาทสำคัญในการบังคับใช้ระบบโควต้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ประเด็นเรื่อง จองคิวก่อนเที่ยว? ไทยจ่อใช้โควต้าคุมนักท่องเที่ยว ได้กลายเป็นหัวข้อที่ได้รับความสนใจอย่างกว้างขวาง ท่ามกลางการฟื้นตัวอย่างรวดเร็วของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวหลังการระบาดใหญ่ แนวคิดนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่การกลับมาเป็นที่พูดถึงในครั้งนี้มีนัยสำคัญที่แตกต่างออกไป เนื่องจากเป็นการสะท้อนวิสัยทัศน์ระยะยาวของภาครัฐที่ต้องการปรับโครงสร้างการท่องเที่ยวของประเทศให้มีความยั่งยืน โดยมุ่งเป้าไปที่การแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมและภาวะนักท่องเที่ยวล้นเกิน (Overtourism) ที่เคยสร้างผลกระทบในพื้นที่สำคัญอย่างภูเก็ตและเชียงใหม่มาแล้วในอดีต การพิจารณามาตรการดังกล่าวจึงเป็นความพยายามในการสร้างสมดุลระหว่างการเติบโตทางเศรษฐกิจกับการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและวัฒนธรรม
ทำไมแนวคิดโควต้านักท่องเที่ยวจึงมีความสำคัญในเวลานี้
การกลับมาของนักท่องเที่ยวจำนวนมากหลังการผ่อนคลายมาตรการควบคุมการเดินทางตั้งแต่เดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2565 เป็นสัญญาณบวกต่อเศรษฐกิจ แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นการปลุกให้ปัญหาเก่าที่เคยซุกอยู่ใต้พรมกลับมาปรากฏชัดเจนอีกครั้ง ภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงเล็งเห็นถึงความจำเป็นในการวางรากฐานการท่องเที่ยวใหม่ เพื่อไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย และเพื่อเตรียมความพร้อมสู่เป้าหมายที่ใหญ่กว่าในอนาคต
บทเรียนจากภาวะ Overtourism ก่อนการระบาดใหญ่
ก่อนปี พ.ศ. 2563 ประเทศไทยเคยต้อนรับนักท่องเที่ยวเกือบ 40 ล้านคนต่อปี ซึ่งสร้างรายได้มหาศาล แต่ก็ต้องแลกมาด้วยความเสื่อมโทรมของทรัพยากรธรรมชาติในหลายพื้นที่ ชายหาดที่เคยสวยงามเต็มไปด้วยขยะและผู้คน แนวปะการังถูกทำลาย ระบบสาธารณูปโภคในเมืองท่องเที่ยวหลักต้องรับภาระหนักเกินขีดความสามารถ ปัญหาเหล่านี้คือสิ่งที่เรียกว่า Overtourism ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อคุณภาพของประสบการณ์การท่องเที่ยวและคุณภาพชีวิตของคนในท้องถิ่น ช่วงเวลาที่การท่องเที่ยวหยุดชะงักไปจากการระบาดใหญ่ได้เปิดโอกาสให้ธรรมชาติฟื้นฟู และทำให้ทุกฝ่ายได้ตระหนักถึงต้นทุนที่ต้องจ่ายหากยังคงมุ่งเน้นแต่ตัวเลขนักท่องเที่ยวเพียงอย่างเดียว แนวคิดการจำกัดจำนวนนักท่องเที่ยวจึงเป็นมาตรการเชิงป้องกัน เพื่อรักษา “ต้นทุน” ทางธรรมชาติและวัฒนธรรมไว้ให้ยั่งยืน
เป้าหมายการฟื้นฟูอุตสาหกรรมท่องเที่ยวสู่ระดับใหม่
เป้าหมายของรัฐบาลในปัจจุบันไม่ใช่เพียงแค่การนำตัวเลขนักท่องเที่ยวกลับไปสู่ระดับ 40 ล้านคนต่อปี แต่เป็นการตั้งเป้ารายได้ที่สูงขึ้นพร้อมกับการเติบโตอย่างมีคุณภาพ ซึ่งหมายความว่าค่าใช้จ่ายต่อหัวของนักท่องเที่ยวต้องเพิ่มขึ้น การจะบรรลุเป้าหมายนี้ได้จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนกลุ่มเป้าหมายจากการท่องเที่ยวแบบมวลชน (Mass Tourism) ไปสู่การท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ (Quality Tourism) ที่นักท่องเที่ยวมีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมมากขึ้น และยินดีที่จะจ่ายเพื่อแลกกับประสบการณ์ที่มีคุณค่าและเป็นส่วนตัว การใช้ระบบโควต้าหรือการจองล่วงหน้าจึงเป็นเครื่องมือหนึ่งที่สามารถช่วยคัดกรองและบริหารจัดการให้นักท่องเที่ยวที่เข้ามามีคุณภาพสอดคล้องกับทิศทางใหม่ของประเทศ
เจาะลึกกลยุทธ์: เน้นคุณภาพมากกว่าปริมาณ
หัวใจสำคัญของนโยบายใหม่นี้คือการเปลี่ยนกระบวนทัศน์จากการ “นับจำนวนหัว” ไปสู่การ “วัดคุณภาพ” ของนักท่องเที่ยว ซึ่งต้องอาศัยกลไกและมาตรการที่ซับซ้อนกว่าเดิม เพื่อให้แน่ใจว่าผู้ที่เดินทางเข้ามาในประเทศเป็นกลุ่มที่สร้างประโยชน์สูงสุดและสร้างผลกระทบน้อยที่สุด
นิยามของ “นักท่องเที่ยวคุณภาพ” ในบริบทใหม่
“นักท่องเที่ยวคุณภาพ” ไม่ได้หมายถึงเฉพาะกลุ่มผู้มีรายได้สูงหรือนักท่องเที่ยวสายหรูหราเท่านั้น แต่ครอบคลุมถึงนักท่องเที่ยวทุกกลุ่มที่มีลักษณะดังต่อไปนี้:
- มีกำลังซื้อสูง: มีแนวโน้มที่จะใช้จ่ายเงินในกิจกรรมท่องเที่ยวที่หลากหลาย เช่น การรับประทานอาหารในร้านอาหารท้องถิ่น การซื้อสินค้าหัตถกรรม การเข้าร่วมกิจกรรมเชิงวัฒนธรรม ซึ่งช่วยกระจายรายได้สู่ชุมชนได้ดีกว่า
- พำนักระยะยาว: นักท่องเที่ยวที่อยู่นานกว่ามักจะซึมซับวัฒนธรรมและใช้จ่ายในระบบเศรษฐกิจท้องถิ่นมากกว่านักท่องเที่ยวที่มาเพียงไม่กี่วัน
- มีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม: เลือกใช้บริการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ไม่สร้างขยะ และเคารพในกฎระเบียบของสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติ
- เคารพวัฒนธรรมท้องถิ่น: มีความเข้าใจและให้เกียรติประเพณี วิถีชีวิต และความเป็นอยู่ของคนในพื้นที่
การดึงดูดนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้จำเป็นต้องอาศัยการยกระดับมาตรฐานของแหล่งท่องเที่ยวและบริการ ซึ่งการควบคุมจำนวนนักท่องเที่ยวให้ไม่แออัดจนเกินไปถือเป็นปัจจัยพื้นฐานที่สำคัญ
กลไกการคัดกรองที่อาจถูกนำมาใช้
เพื่อให้ได้มาซึ่งนักท่องเที่ยวคุณภาพ ภาครัฐอาจพิจารณาใช้มาตรการคัดกรองหลายรูปแบบประกอบกัน นอกเหนือจากระบบโควต้าในพื้นที่เฉพาะ ได้แก่:
- การพิจารณาวีซ่าที่เข้มงวดขึ้น: อาจมีการตรวจสอบประวัติและสถานะทางการเงินของผู้ยื่นขอวีซ่าอย่างละเอียดมากขึ้น เพื่อคัดกรองบุคคลที่อาจเข้ามาสร้างปัญหาหรือไม่ใช่กลุ่มเป้าหมาย
- การกำหนดค่าธรรมเนียมเข้าเมืองที่สูงขึ้น: แนวคิดเรื่องการเก็บค่าธรรมเนียมการท่องเที่ยว (Tourism Fee) อาจถูกนำกลับมาพิจารณาอย่างจริงจัง โดยรายได้ส่วนนี้สามารถนำไปใช้ในการบำรุงรักษาสถานที่ท่องเที่ยวและพัฒนาระบบความปลอดภัย
- การกำหนดคุณสมบัติเบื้องต้น: เช่น การกำหนดให้มีประกันการเดินทางที่ครอบคลุม หรือมีหลักฐานการจองที่พักที่ได้มาตรฐาน ซึ่งเป็นมาตรการที่เคยใช้ในช่วงเริ่มต้นของการเปิดประเทศ
การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่า การเดินทางมายังประเทศไทยในอนาคตอาจไม่ใช่เรื่องง่ายเหมือนในอดีต แต่จะแลกมาด้วยประสบการณ์การท่องเที่ยวที่ดีขึ้นและเป็นระเบียบมากขึ้น
การเตรียมความพร้อมสำหรับมหกรรมท่องเที่ยว Amazing Thailand Grand Tourism and Sports Year
แนวคิดการจัดการนักท่องเที่ยวนี้ไม่ได้เกิดขึ้นอย่างเลื่อนลอย แต่เป็นส่วนหนึ่งของแผนยุทธศาสตร์ขนาดใหญ่ที่มองไปถึงปี 2568-2569 ซึ่งการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ได้เตรียมจัดแคมเปญ “Amazing Thailand Grand Tourism and Sports Year” เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวครั้งสำคัญ
การสร้างประสบการณ์พิเศษและการกระจายตัวของนักท่องเที่ยว
แคมเปญนี้มีเป้าหมายเพื่อมอบประสบการณ์การท่องเที่ยวที่พิเศษและน่าจดจำ ซึ่งการจะทำเช่นนั้นได้ในแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยม จำเป็นต้องมีการบริหารจัดการฝูงชนที่ดี การจำกัดจำนวนผู้เข้าชมในแต่ละวันหรือแต่ละช่วงเวลาจะช่วยลดความแออัด ทำให้นักท่องเที่ยวสามารถชื่นชมความงามของสถานที่ได้อย่างเต็มที่ และยังช่วยให้การดูแลรักษาความปลอดภัยทำได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ การควบคุมจำนวนนักท่องเที่ยวในเมืองหลักยังเป็นการสร้างแรงจูงใจทางอ้อมให้นักท่องเที่ยวมองหาจุดหมายปลายทางใหม่ๆ ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายส่งเสริมเมืองรอง
การส่งเสริมเมืองรอง (Hidden Gem Cities) เป็นทางเลือก
หนึ่งในกลยุทธ์สำคัญเพื่อลดแรงกดดันจากภาวะ Overtourism คือการกระจายนักท่องเที่ยวออกจากเมืองหลักอย่างกรุงเทพฯ ภูเก็ต เชียงใหม่ ไปสู่ “เมืองรอง” หรือ Hidden Gem Cities ที่มีศักยภาพแต่ยังไม่เป็นที่รู้จักในวงกว้าง การส่งเสริมเมืองเหล่านี้ไม่เพียงแต่ช่วยลดความแออัด แต่ยังเป็นการกระจายรายได้สู่เศรษฐกิจฐานรากในภูมิภาคต่างๆ ทั่วประเทศ การทำให้การเดินทางไปยังเมืองหลักมีความท้าทายมากขึ้นผ่านระบบโควต้า อาจเป็นปัจจัยที่ทำให้นักท่องเที่ยวเปิดใจเลือกเดินทางไปยังเมืองรอง เพื่อค้นหาประสบการณ์ที่แตกต่างและเป็นของแท้มากขึ้น ซึ่งจะช่วยสร้างความยั่งยืนให้กับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในภาพรวม
บทบาทของเทคโนโลยีในการบริหารจัดการการท่องเที่ยวสมัยใหม่
การนำนโยบายที่ซับซ้อนอย่างระบบโควต้ามาใช้ให้เกิดประสิทธิภาพนั้นจำเป็นต้องอาศัยเทคโนโลยีที่ทันสมัยเข้ามาช่วยสนับสนุน ซึ่งในปัจจุบัน ประเทศไทยมีความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยีมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการนำปัญญาประดิษฐ์ (AI) เข้ามาประยุกต์ใช้
AI กับระบบความปลอดภัยและการตอบสนองต่อเหตุการณ์
ความปลอดภัยถือเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดในการสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักท่องเที่ยว ปัจจุบันมีการนำระบบ AI เข้ามาใช้ในงานของตำรวจท่องเที่ยว เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลและตอบสนองต่อเหตุการณ์ฉุกเฉินได้อย่างรวดเร็ว มีการติดตั้งกล้องวงจรปิดพร้อมระบบวิเคราะห์ภาพในจุดเสี่ยงต่างๆ ซึ่งสามารถแจ้งเตือนเจ้าหน้าที่ได้ทันทีหากมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้น โครงสร้างพื้นฐานด้านความปลอดภัยที่แข็งแกร่งนี้สามารถทำงานควบคู่ไปกับระบบการจัดการนักท่องเที่ยว โดย AI สามารถช่วยติดตามการเคลื่อนที่ของนักท่องเที่ยวในพื้นที่ที่มีการจำกัดจำนวน เพื่อให้แน่ใจว่าทุกคนอยู่ในพื้นที่ที่ได้รับอนุญาตและไม่เกิดความหนาแน่นจนเป็นอันตราย
ศักยภาพของ AI ในการบริหารจัดการโควต้าและข้อมูล
หากมีการนำระบบจองล่วงหน้าหรือโควต้านักท่องเที่ยวมาใช้จริง เทคโนโลยี AI จะมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการบริหารจัดการ ตั้งแต่กระบวนการลงทะเบียนและยืนยันตัวตน ไปจนถึงการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อวางแผนในอนาคต
- ระบบจองอัจฉริยะ: AI สามารถบริหารจัดการการจองแบบเรียลไทม์ ป้องกันการจองซ้ำซ้อน และจัดสรรโควต้าได้อย่างเป็นธรรมและโปร่งใส
- การวิเคราะห์พฤติกรรม: สามารถวิเคราะห์ข้อมูลการเดินทางของนักท่องเที่ยว เพื่อทำความเข้าใจรูปแบบความต้องการและนำไปปรับปรุงบริการหรือวางแผนการตลาดให้ตรงจุดมากขึ้น
- การพยากรณ์ความต้องการ: AI สามารถใช้ข้อมูลในอดีตเพื่อพยากรณ์จำนวนนักท่องเที่ยวในฤดูกาลต่างๆ ทำให้ภาครัฐและผู้ประกอบการสามารถเตรียมความพร้อมด้านทรัพยากรได้อย่างเหมาะสม
การใช้เทคโนโลยีเหล่านี้จะช่วยให้การบังคับใช้มาตรการเป็นไปอย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพ ลดการใช้ดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่ และสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับนักท่องเที่ยวตั้งแต่ขั้นตอนการวางแผน
ผลกระทบที่คาดการณ์: มุมมองของนักท่องเที่ยวและผู้ประกอบการ
การเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบายครั้งใหญ่นี้ย่อมส่งผลกระทบต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่าย ทั้งนักท่องเที่ยวที่ต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการเดินทาง และผู้ประกอบการที่ต้องปรับตัวให้เข้ากับกติกาใหม่
สำหรับนักท่องเที่ยว: การเปลี่ยนแปลงในรูปแบบการวางแผน
สำหรับนักท่องเที่ยว การมาเยือนสถานที่ยอดนิยมในประเทศไทยอาจไม่สามารถตัดสินใจแบบฉุกละหุกได้อีกต่อไป การวางแผนล่วงหน้าจะกลายเป็นสิ่งจำเป็น การจองตั๋วเครื่องบิน ที่พัก และบัตรเข้าชมสถานที่ต่างๆ อาจต้องทำล่วงหน้าเป็นเวลาหลายสัปดาห์หรือหลายเดือน แม้ว่าสิ่งนี้อาจสร้างความไม่สะดวกสบายให้กับนักท่องเที่ยวบางกลุ่ม แต่ก็มีข้อดีที่ชัดเจน:
- ประสบการณ์ที่ดีขึ้น: ไม่ต้องเผชิญกับความแออัดยัดเยียด สามารถใช้เวลาในแต่ละสถานที่ได้อย่างเต็มที่และปลอดภัย
- ความแน่นอนในการเดินทาง: เมื่อทำการจองสำเร็จแล้ว นักท่องเที่ยวจะมั่นใจได้ว่าจะสามารถเข้าชมสถานที่นั้นๆ ได้ตามแผนที่วางไว้
- ส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างรับผิดชอบ: กระตุ้นให้นักท่องเที่ยวตระหนักถึงคุณค่าของสถานที่และวางแผนการเดินทางอย่างใส่ใจมากขึ้น
สำหรับผู้ประกอบการ: ความท้าทายและการปรับตัว
ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจะต้องปรับตัวครั้งใหญ่เพื่อรองรับนโยบายนี้ โดยเฉพาะผู้ที่เคยพึ่งพานักท่องเที่ยวกลุ่มใหญ่ (Mass Market) อาจต้องหันมาจับตลาดเฉพาะกลุ่ม (Niche Market) มากขึ้น การแข่งขันจะเปลี่ยนจากการ “ตัดราคา” ไปสู่การ “สร้างคุณค่า” และนำเสนอประสบการณ์ที่ไม่เหมือนใคร อย่างไรก็ตาม ก็มีความท้าทายเช่นกัน โดยเฉพาะผู้ประกอบการรายย่อยที่อาจมีข้อจำกัดในการเข้าถึงเทคโนโลยีหรือทำการตลาดกับนักท่องเที่ยวคุณภาพสูง การสนับสนุนจากภาครัฐในการให้ความรู้และเครื่องมือจึงเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อให้การเปลี่ยนผ่านนี้เป็นไปอย่างราบรื่นและไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง
บทสรุปและแนวโน้มอนาคตของการท่องเที่ยวไทย
แนวคิด จองคิวก่อนเที่ยว? ไทยจ่อใช้โควต้าคุมนักท่องเที่ยว แม้จะยังอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาและยังไม่มีการประกาศกรอบการดำเนินงานที่ชัดเจน แต่ก็เป็นสัญญาณที่บ่งชี้ถึงทิศทางการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญของการท่องเที่ยวไทย อนาคตของการท่องเที่ยวไม่ได้อยู่ที่การทำลายสถิติจำนวนนักท่องเที่ยว แต่อยู่ที่การสร้างการเติบโตที่สมดุลและยั่งยืน ซึ่งให้ความสำคัญกับคุณภาพของประสบการณ์ การอนุรักษ์ทรัพยากร และการกระจายประโยชน์สู่ชุมชนอย่างทั่วถึง
การเปลี่ยนผ่านนี้อาจต้องใช้เวลาและเผชิญกับความท้าทาย แต่หากทำได้สำเร็จ ประเทศไทยจะสามารถยกระดับตัวเองจากการเป็นเพียงจุดหมายปลายทางยอดนิยม ไปสู่การเป็นต้นแบบของการจัดการการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน ที่สร้างความประทับใจให้กับผู้มาเยือนและรักษาความมั่งคั่งทางธรรมชาติและวัฒนธรรมไว้สำหรับคนรุ่นต่อไป สำหรับนักท่องเที่ยวและผู้ที่เกี่ยวข้องในอุตสาหกรรม การติดตามข่าวสารและประกาศอย่างเป็นทางการจากหน่วยงานภาครัฐจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อเตรียมความพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้