โรคภูมิแพ้ เกิดจากสภาพแวดล้อมในปัจจุบัน ที่เต็มไปด้วยมลภาวะฝุ่น ควัน สารพิษ น้ำเน่าเสีย สิ่งเหล่านี้ล้วนเพิ่มความเสี่ยงให้ระบบภูมิคุ้มกันภายในร่างกายของเราต้องทำงานเพิ่มมากขึ้น ทำให้ร่างกายอ่อนแอลง และเพิ่มโอกาสในการป่วยด้วยอาการภูมิแพ้มากยิ่งขึ้นนั่นเอง
อาการต่างๆ ของภูมิแพ้ เช่น คัดจมูก คันจมูก จาม ถึงแม้จะไม่มีอันตรายร้ายแรง แต่ก็สร้างความรำคาญและรบกวนคุณภาพชีวิตเป็นอย่างมาก ขั้นตอนง่ายๆ เหล่านี้จะช่วยให้คุณสามารถจัดการกับอาการของภูมิแพ้ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น แต่จะดีมากขึ้นถ้ารู้จักดูแลตัวเองและปรับเปลี่ยนการใช้ชีวิตให้ดีไปด้วย
วิธีดูแลตัวเอง สำหรับผู้ที่มีอาการภูมิแพ้
1. ปรับเปลี่ยนกิจวัตรประจำวัน
สารก่อภูมิแพ้ที่มาจากไรฝุ่น สปอร์ของเชื้อรา สะเก็ดผิวหนังของสัตว์เลี้ยง และละอองเกสรสามารถเกาะติดบนร่างกาย เสื้อผ้า หรือเส้นผมได้ ดังนั้นการสร้างลักษณะนิสัยต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการถอดรองเท้าก่อนเข้าบ้าน การเปลี่ยนเสื้อผ้า ล้างมือ หรือล้างหน้าทันทีที่กลับจากภายนอกบ้าน จะช่วยลดโอกาสในการสัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้ได้ นอกจากนี้การปลูกฝังลักษณะนิสัยดังกล่าวให้กับเด็กๆภายในบ้านที่มีแนวโน้มจะเป็นอาการของภูมิแพ้ ก็สามารถจะช่วยลดโอกาสในการสัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้ได้เช่นกัน
2. การทำความสะอาดร่างกายก่อนเข้านอน
การอาบน้ำรวมถึงการสระผมก่อนเข้านอนในตอนกลางคืนจะช่วยป้องกันไม่ให้สารก่อภูมิแพ้ที่ติดอยู่บนเส้นผมหรือผิวหนังสัมผัสกับที่นอน โดยมีข้อควรระวังเพิ่มเติมคือ การเป่าผมให้แห้งสนิทก่อนเข้านอน มิเช่นนั้นอาจเกิดปัญหารังแค หรือ เชื้อราบนหนังศีรษะตามมาได้
3. การทำความสะอาดบ้าน
ฝุ่นละอองภายในบ้านเป็นตัวการสำคัญของการเกิดอาการของภูมิแพ้ในบ้าน การใช้เวลาในการเก็บกวาดและดูดฝุ่นเพียง 10 นาทีต่อวัน จะช่วยลดการสะสมของฝุ่นภายในบ้านได้ โดยวิธีการเก็บกวาดฝุ่นในบ้านอย่างถูกต้อง คือ ควรใช้ฟองน้ำที่ชุบน้ำหมาดๆในการเช็ดพื้นผิวต่างๆ และถูพื้นบ้านเป็นประจำ นอกจากนี้ เครื่องดูดฝุ่นที่ใช้ควรมีการติดตั้ง HEPA filter หรือ double-vacuum bag และควรสวมหน้ากากและถุงมือขณะทำความสะอาดบ้านเพื่อลดการสัมผัสกับฝุ่นละออง
4. การลดปริมาณสารก่อภูมิแพ้ในบ้าน
การทำความสะอาดเครื่องนอนและผ้าห่มในน้ำร้อนที่อุณหภูมิอย่างน้อย 54 องศาเซลเซียส ทุกสัปดาห์จะช่วยป้องกันการเกาะติดของสารก่อภูมิแพ้ต่างๆได้ อย่างไรก็ตาม ควรปฏิบัติตามคำแนะนำของบริษัทผู้ผลิตเครื่องนอนแต่ละชนิดด้วยเพื่อให้เหมาะสมกับสภาพเส้นใยและคุณสมบัติของผ้า
5. การติดตามระดับระดับความชื้น
โดยปกติการวัดความชื้นในอากาศจะใช้เครื่องมือที่เรียกว่า hygrometer (ไฮกรอมิเตอร์) ซึ่งสามารถหาซื้อได้ทั่วไป หากระดับความชื้นในอากาศมากกว่า 50% จะเป็นระดับความชื้นที่เหมาะแก่การเจริญเติบโตของเชื้อราในที่อยู่อาศัย อาจแก้ไขด้วยการนำเครื่องดูดความชื้นไปวางไว้ในบริเวณดังกล่าวเพื่อควบคุมระดับความชื้นให้อยู่ในระดับปกติ
6. พกยาแก้แพ้ติดตัว
ในบางครั้งการป้องกันอาการภูมิแพ้ด้วยวิธีต่างๆ ที่กล่าวมาทั้งหมดอาจจะยังไม่เพียงพอสำหรับผู้ป่วยบางราย การเตรียมยารักษาอาการภูมิแพ้ติดตัวไว้จึงเป็นสิ่งที่จำเป็น หากมีอาการภูมิแพ้กำเริบ คุณสามารถรับประทานยารักษาอาการภูมิแพ้ที่เตรียมไว้ได้ทันที และสามารถทำกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติ
7. ให้คำแนะนำบุตรหลานเกี่ยวกับอาการภูมิแพ้
โดยปกติเด็กๆมักจะถูกดึงดูดความสนใจไปกับกิจกรรมที่สนุกในระหว่างวันจนลืมคำนึงถึงการหลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้ที่ทำให้เกิดปฏิกิริยาภูมิแพ้ได้ ดังนั้น การอธิบายให้เข้าใจถึงอาการภูมิแพ้และคำแนะนำในการหลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้ย่อมลดโอกาสในการเกิดอาการภูมิแพ้รวมถึงทำให้ควบคุมอาการของโรคได้ดีมากยิ่งขึ้นด้วย
อย่างไรก็ตามหากคุณมีข้อสงสัย การปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับอาการภูมิแพ้ หรือเข้ารับการตรวจวินิจฉัยหาสารก่อภูมิแพ้ ไม่ว่าจะเป็นวิธีการตรวจเลือด หรือการทดสอบภูมิแพ้โดยการสะกิดผิวหนัง เพื่อที่จะไม่ต้องทนทรมาน หรือ ทนรำคาญต่ออาการของโรคภูมิแพ้
และอีกข้อสำคัญคือ การดูแลตัวเองถือว่าเป็นสิ่งสำคัญในการรักษาอาการภูมิแพ้นะคะ เพราะฉะนั้นผู้ที่เป็นโรคนี้จะต้องหลีกเลี่ยงสถานที่ อาหาร และความเสี่ยงต่างๆ ให้มากที่สุด พร้อมกับการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อให้มีสุขภาพที่แข็งแรงด้วยนะคะ
ที่มา: clarityne.co.th