การดื่มกาแฟให้อร่อยนั้น ตามหลักการและวิธีแล้วจะช่วยทำให้เราดื่มกาแฟแต่ละประเภทได้อร่อยยิ่งขึ้น ทั้งฟองนม เนื้อสัมผัส กลิ่นที่จะได้จากการชงแต่ละครั้ง พร้อมเคล็ดลับการดื่มที่ไม่ทำลายสุขภาพ และยังช่วยให้สุขภาพดีขึ้นอีกด้วย เป็นเคล็ดลับดีๆ ที่เรานำมากฝากกัน
6 เคล็ดลับการดื่มกาแฟให้อร่อย และดีต่อสุขภาพ
-
เลือกกาแฟคุณภาพดี
สายพันธุ์ของกาแฟแบ่งออกเป็น 3 ชนิดใหญ่ๆ ได้แก่ อะราบิกา, โรบัสต้า และ ลิเบอริกา อะราบิกา มีกลิ่นหอม รสชาติกลมกล่อม และมีรสเปรี้ยวคล้ายผลไม้ โรบัสต้า โดดเด่นตรงรสชาติที่ขมเข้ม มีกลิ่นหอมที่เป็นเอกลักษณ์ และมีคาเฟอีนมากกว่าอะราบิกาถึง 2 เท่า จึงเหมาะกับผู้ที่ชอบดื่มกาแฟรสชาติเข้มข้น ส่วนลิเบอริกา มีรสชาติไม่ดีเท่ากับสายพันธุ์อื่นจึงยังไม่เป็นที่แพร่หลายมากนัก
ด้วยความที่กาแฟแต่ละสายพันธุ์มีจุดเด่นที่ต่างกันไป จึงนิยมนำอะราบิกาและโรบัสต้ามาผสมกันเพื่อให้เกิดกาแฟที่มีรสชาติเข้มข้นแต่กลมกล่อม ไม่เปรี้ยวหรือขมจนเกินไป และมีกลิ่นหอมกรุ่นชวนให้อยากดื่ม
-
ดื่มน้ำเปล่า 1 แก้ว ก่อนดื่มกาแฟ
มีงานวิจัยระบุว่า แม้ว่าคาเฟอีนจะมีส่วนช่วยให้ร่างกายเกิดการขับปัสสาวะ แต่ร่างกายของเราก็สามารถปรับตัวให้สามารถรับมือกับคาเฟอีนที่เข้าไปในร่างกาย โดยไม่ทำให้ร่างกายอยู่ในภาวะขาดน้ำได้ อย่างไรก็ตามคอกาแฟหลายคนยอมรับว่า หากเริ่มต้นตื่นเช้ามาก็ดื่มกาแฟเลย จะพบว่าตลอดทั้งวันที่เหลือ พวกเขาจะดื่มน้ำเปล่าไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย พูดง่ายๆ คือติดกาแฟเสียจนลืมดื่มน้ำเปล่านั่นเอง ดังนั้นถ้าไม่อยากทำร้ายตัวเองด้วยการดื่มน้ำน้อย ก็ควรดื่มน้ำเปล่าสักหนึ่งแก้วหลังตื่นนอน ก่อนที่จะเดินไปชงกาแฟดื่มอีกครั้ง ไม่แน่คุณอาจจะดื่มกาแฟน้อยลงเพราะอิ่มน้ำไปบ้างแล้วก็ได้
-
เลือกดื่มให้ถูกเวลา
นักวิจัยแนะนำว่า เวลาที่ดีที่สุดที่จะดื่มกาแฟ คือ หลังตื่นนอนประมาณ 3 ชั่วโมง หรือหลังทานอาหารกลางวันประมาณ 1-2 ชั่วโมง ซึ่งเป็นช่วงที่ฮอร์โมนคอร์ติซอล (หรือฮอร์โมนตื่นตัว) ลดต่ำลง จึงจะเข้าไปช่วยเพิ่มความสดชื่นกระปรี้กระเปร่า และคลายความตึงเครียด ควรหลีกเลี่ยงการดื่มหลัง 14.00 น. เพราะอาจทำให้นอนหลับยาก
-
อย่าใส่สารให้ความหวานแทนน้ำตาล
แม้ว่าจะดูเหมือนเป็นวิธีที่ช่วยทำให้กาแฟของคุณมีรสชาติอร่อย และไม่ทำลายสุขภาพ เพราะสารให้ความหวานแทนน้ำตาลไม่มีพลังงานเหมือนน้ำตาลปกติ แต่มีงานวิจัยที่พบว่า การดื่มเครื่องดื่มที่ใส่สารให้ความหวานแทนน้ำตาลบ่อยๆ อาจเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคเบาหวานประเภท 2 โรคอ้วน และโรคหัวใจได้ ดังนั้นหากจะชงกาแฟครั้งหน้า ควรเลือกใส่น้ำตาลจริงในปริมาณน้อยๆ เพียงปลายช้อน หรือไม่ใส่น้ำตาลจะดีกว่า
-
ใส่นมออร์แกนิก หรือนมจากพืช แทนนมปกติ
ถ้าชอบใส่นมในกาแฟ ลองเลือกนมจากพืช เช่น นมถั่วเหลือง นมอัลมอนด์ หรือนมออร์ปกนิก นมที่มาจากวัวที่กินแต่หญ้า แทนนมปกติดูสิ แม้ว่าความเข้มข้นหรือไขมันจะน้อยกว่า แต่รับรองว่าดีต่อสุขภาพมากกว่าเดิมอีกเยอะ เพราะนมจากพืชมีไขมันที่ดีต่อร่างกาย และนมออร์แกนิก หรือนมที่มาจากวัวที่เลี้ยงด้วยหญ้าอย่างเดียว จะมีกรดไขมันโอเมก้า-3 มากกว่านมปกติด้วย เราแนะนำให้เลือกแต่นมจืดเท่านั้น แต่หากชอบนมที่มีรสชาติ สามารถเลือกนมที่มีปริมาณน้ำตาลไม่เกิน 4 กรัม หรือเท่ากับ 1 ช้อนชาจะดีที่สุด
-
“หลับ” ก่อนกาแฟ “ปลุก”
ทราบหรือไม่ว่า? ก่อนที่กาแฟจะเริ่มส่งคาเฟอีนมาปลุกให้เราตื่นจากความง่วง ต้องใช้เวลาราว 30 นาที ดังนั้นหากเราสามารถทำการ “งีบ” ก่อนที่คาเฟอีนจะเริ่มทำงาน หลังจากเรางีบไป 30 นาที และตื่นมาพร้อมกับคาเฟอีนที่เริ่มปลุกเราให้ตื่น เราจะรู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่ามากขึ้นอีกหลายเท่าตัว ดังนั้นใครที่สามารถงีบได้ ให้ลองใช้วิธีนี้ดู แต่อย่าเผลอดื่มกาแฟก่อนนอน 6 ชั่วโมงล่ะ ไม่งั้นคืนนั้นอาจจะนอนไม่หลับได้
คำแนะนำ : คาเฟอีนมีฤทธิ์เป็นกรดอ่อน ๆ ซึ่งหากดื่มกาแฟตอนท้องว่างอาจทำให้เกิดอาการระคายเคืองกระเพาะอาหารขึ้นได้
และสุดท้ายการดื่มกาแฟถือเป็นรสนิยมส่วนตัวของแต่ละคน แม้ว่าคุณจะหลงรักและชอบในการดื่มแค่ไหน ก็อย่าลืมที่จะตรวจเช็คสุขภาพและออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงกันด้วยค่ะ
ที่มา: TIME