Shopping cart

17 ก.ย. วันความปลอดภัยผู้ป่วยโลก: รู้สิทธิก่อนหาหมอ

สารบัญ

ทุกครั้งที่เข้ารับการรักษาพยาบาล ความคาดหวังสูงสุดคือการได้รับการดูแลที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงและอันตรายที่อาจเกิดขึ้นได้ในกระบวนการยังคงเป็นความท้าทายสำคัญของระบบสาธารณสุขทั่วโลก ด้วยเหตุนี้ องค์การอนามัยโลกจึงกำหนดให้วันที่ 17 กันยายนของทุกปีเป็น “วันความปลอดภัยผู้ป่วยโลก” (World Patient Safety Day) เพื่อสร้างความตระหนักและผลักดันให้ทุกภาคส่วนร่วมมือกันยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยในสถานพยาบาล

ภาพรวมของวันความปลอดภัยผู้ป่วยโลก

  • ความสำคัญ: วันที่ 17 กันยายนของทุกปี ถูกกำหนดขึ้นเพื่อรณรงค์ให้เกิดความตระหนักรู้และความร่วมมือระดับโลกในการปรับปรุงความปลอดภัยของผู้ป่วยในระบบสุขภาพ ลดความเสี่ยงจากอันตรายที่สามารถป้องกันได้
  • ผู้ริเริ่ม: องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ริเริ่มวันสำคัญนี้ขึ้นอย่างเป็นทางการตั้งแต่ปี 2019 โดยมีการกำหนดหัวข้อรณรงค์ (Theme) ที่แตกต่างกันไปในแต่ละปีเพื่อมุ่งเน้นประเด็นสำคัญเร่งด่วน
  • หัวข้อปี 2025: ธีมสำหรับปี 2025 คือ “Safe care for every newborn and every child” หรือ “ความปลอดภัยของผู้ป่วยตั้งแต่ต้นชีวิต” ซึ่งเน้นย้ำถึงความสำคัญของการดูแลทารกแรกเกิดและเด็กอย่างปลอดภัยเป็นพิเศษ
  • สิทธิผู้ป่วย: หนึ่งในหัวใจหลักของการรณรงค์คือการส่งเสริมให้ผู้ป่วยและครอบครัวตระหนักถึงสิทธิของตนเอง เช่น สิทธิในการรับทราบข้อมูล การซักถาม และการมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญในการป้องกันความผิดพลาดทางการแพทย์
  • เป้าหมายสูงสุด: สร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยที่เข้มแข็งในระบบสาธารณสุข โดยอาศัยความร่วมมือจากทั้งบุคลากรทางการแพทย์ ผู้กำหนดนโยบาย และตัวผู้ป่วยเอง เพื่อให้การรักษาพยาบาลมีความปลอดภัยสูงสุดสำหรับทุกคน

เจาะลึกความเป็นมาและความสำคัญของวันความปลอดภัยผู้ป่วยโลก

การทำความเข้าใจที่มาและวัตถุประสงค์ของ 17 ก.ย. วันความปลอดภัยผู้ป่วยโลก: รู้สิทธิก่อนหาหมอ เป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญในการตระหนักถึงบทบาทของทุกฝ่ายในการสร้างระบบสุขภาพที่ปลอดภัย วันสำคัญนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่วันเชิงสัญลักษณ์ แต่เป็นกลไกขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงในระดับนโยบายและการปฏิบัติงานทั่วโลก เพื่อลดเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ทางการแพทย์ที่สามารถป้องกันได้

จุดกำเนิดโดยองค์การอนามัยโลก (WHO)

วันความปลอดภัยผู้ป่วยโลกได้รับการสถาปนาขึ้นอย่างเป็นทางการโดยที่ประชุมสมัชชาอนามัยโลก (World Health Assembly) ในปี 2019 โดยมีมติเป็นเอกฉันท์ให้วันที่ 17 กันยายนของทุกปีเป็นวันสำหรับรณรงค์ในเรื่องนี้โดยเฉพาะ การตัดสินใจดังกล่าวเกิดขึ้นจากความตระหนักที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับภาระของอันตรายที่เกิดกับผู้ป่วยในระบบการดูแลสุขภาพ ซึ่งข้อมูลชี้ให้เห็นว่าเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์เป็นหนึ่งในสาเหตุการเสียชีวิตและความพิการ 10 อันดับแรกทั่วโลก

วัตถุประสงค์หลักของการก่อตั้งวันความปลอดภัยผู้ป่วยโลก คือการสร้างความเข้าใจร่วมกันในระดับสากล กระตุ้นให้เกิดความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน และส่งเสริมให้ประเทศสมาชิกดำเนินการที่เป็นรูปธรรมเพื่อยกระดับความปลอดภัยของผู้ป่วย การรณรงค์ในแต่ละปีจะมุ่งเน้นไปที่ประเด็นเฉพาะทางที่แตกต่างกันไป เพื่อสร้างแรงผลักดันและแก้ไขปัญหาที่สำคัญในขณะนั้น

เหตุผลที่ความปลอดภัยของผู้ป่วยกลายเป็นวาระระดับโลก

ความปลอดภัยของผู้ป่วยไม่ได้เป็นเพียงความรับผิดชอบของโรงพยาบาลหรือบุคลากรทางการแพทย์เท่านั้น แต่เป็นปัญหาระบบสาธารณสุขที่ซับซ้อนและต้องการความร่วมมือจากทุกภาคส่วน เหตุผลที่เรื่องนี้ถูกยกระดับเป็นวาระสำคัญระดับโลกมีหลายประการ:

  • ผลกระทบในวงกว้าง: ความผิดพลาดทางการแพทย์สามารถเกิดขึ้นได้ในทุกขั้นตอนของการรักษา ตั้งแต่การวินิจฉัย การจ่ายยา ไปจนถึงการผ่าตัด ซึ่งอาจนำไปสู่การบาดเจ็บ ความพิการ หรือแม้กระทั่งการเสียชีวิต ผลกระทบไม่ได้จำกัดอยู่แค่ตัวผู้ป่วย แต่ยังรวมถึงครอบครัวและสร้างภาระทางการเงินให้กับระบบเศรษฐกิจโดยรวม
  • อันตรายส่วนใหญ่สามารถป้องกันได้: การศึกษาจำนวนมากชี้ว่าอันตรายที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วยส่วนใหญ่สามารถป้องกันได้หากมีระบบการจัดการที่ดี มีมาตรฐานการปฏิบัติงานที่ชัดเจน และมีวัฒนธรรมองค์กรที่เปิดกว้างให้รายงานความผิดพลาดเพื่อนำไปสู่การเรียนรู้และปรับปรุง
  • ความซับซ้อนของระบบสุขภาพสมัยใหม่: เทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ก้าวหน้าและกระบวนการรักษาที่ซับซ้อนขึ้น เพิ่มความเสี่ยงต่อความผิดพลาดจากปัจจัยมนุษย์และระบบ การสร้างมาตรฐานความปลอดภัยจึงต้องพัฒนาควบคู่ไปกับนวัตกรรมทางการแพทย์
  • การเสริมสร้างความเชื่อมั่น: ระบบสาธารณสุขที่ปลอดภัยเป็นรากฐานสำคัญของความเชื่อมั่นของประชาชน หากผู้คนไม่มั่นใจในความปลอดภัยของโรงพยาบาล อาจนำไปสู่การหลีกเลี่ยงการรักษาที่จำเป็น ซึ่งส่งผลเสียต่อสุขภาพในระยะยาว

การสร้างความตระหนักรู้ผ่านวันความปลอดภัยผู้ป่วยโลกจึงเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยกระตุ้นให้รัฐบาล ผู้กำหนดนโยบาย องค์กรด้านสุขภาพ และประชาชนทั่วไป หันมาให้ความสำคัญกับการลงทุนและพัฒนาระบบความปลอดภัยในสถานพยาบาลอย่างจริงจัง

ทิศทางและหัวข้อหลักประจำปี: การกำหนดวาระความปลอดภัย

ทิศทางและหัวข้อหลักประจำปี: การกำหนดวาระความปลอดภัย

ในแต่ละปี องค์การอนามัยโลกจะกำหนดหัวข้อหรือธีม (Theme) สำหรับการรณรงค์ในวันความปลอดภัยผู้ป่วยโลก เพื่อมุ่งเน้นการแก้ไขปัญหาเฉพาะด้านที่กำลังเป็นประเด็นสำคัญ การกำหนดธีมช่วยให้การสื่อสารและการดำเนินกิจกรรมต่างๆ ทั่วโลกมีทิศทางเดียวกันและเกิดผลกระทบในวงกว้าง

ธีมปี 2025: Safe care for every newborn and every child

สำหรับปี 2025 ธีมหลักคือ “ความปลอดภัยของผู้ป่วยตั้งแต่ต้นชีวิต” โดยมุ่งเน้นไปที่การดูแลทารกแรกเกิดและเด็กอย่างปลอดภัย การเลือกหัวข้อนี้สะท้อนให้เห็นถึงความเปราะบางของกลุ่มประชากรวัยเยาว์ ซึ่งมีความเสี่ยงสูงที่จะได้รับอันตรายจากการดูแลที่ไม่ปลอดภัย เนื่องจากร่างกายและระบบภูมิคุ้มกันที่ยังพัฒนาไม่เต็มที่ รวมถึงความสามารถในการสื่อสารความเจ็บป่วยที่จำกัด

ความปลอดภัยในการดูแลทารกและเด็กครอบคลุมตั้งแต่กระบวนการคลอด การให้ยา การฉีดวัคซีน ไปจนถึงการดูแลรักษาโรคทั่วไปและโรคซับซ้อน ความผิดพลาดเพียงเล็กน้อยในกระบวนการเหล่านี้อาจส่งผลกระทบร้ายแรงต่อพัฒนาการและชีวิตของเด็กในระยะยาว

เป้าประสงค์หลักของวันความปลอดภัยผู้ป่วยโลก 2025

ภายใต้ธีม “Safe care for every newborn and every child” องค์การอนามัยโลกได้กำหนดวัตถุประสงค์หลักไว้ดังนี้:

  1. สร้างความตระหนักระดับโลก: เพิ่มความตระหนักเกี่ยวกับความเสี่ยงและภาระของอันตรายที่สามารถป้องกันได้ในการดูแลเด็กและทารก โดยเฉพาะในสถานพยาบาล
  2. กระตุ้นการมีส่วนร่วมเชิงนโยบาย: เรียกร้องให้รัฐบาลและพันธมิตรด้านการพัฒนา ดำเนินงานเชิงรุกและลงทุนในมาตรการสร้างความปลอดภัยที่ยั่งยืนในระบบการดูแลผู้ป่วยเด็กและทารก
  3. ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของผู้ป่วยและครอบครัว: เสริมพลังให้ผู้ปกครอง ผู้ดูแล และตัวเด็กเอง (ตามความเหมาะสมกับวัย) มีส่วนร่วมในการตัดสินใจและเป็นกระบอกเสียงในการดูแลที่ปลอดภัย
  4. สนับสนุนการวิจัยและนวัตกรรม: ส่งเสริมการวิจัยเพื่อค้นหาวิธีการปฏิบัติที่ดีที่สุดและนวัตกรรมใหม่ๆ ที่จะช่วยลดอันตรายและเพิ่มความปลอดภัยในการดูแลผู้ป่วยเด็ก

ย้อนรอยธีมปี 2024: Get it right, make it safe!

เพื่อให้เห็นภาพการกำหนดทิศทางที่ชัดเจนขึ้น การพิจารณาธีมของปีก่อนหน้าอย่างปี 2024 ซึ่งใช้คำขวัญว่า “Get it right, make it safe!” จะช่วยให้เข้าใจความต่อเนื่องของประเด็นด้านความปลอดภัย ธีมในปี 2024 เน้นไปที่ “การปรับปรุงกระบวนการวินิจฉัยโรคเพื่อความปลอดภัยของผู้ป่วย” โดยชี้ให้เห็นว่าการวินิจฉัยที่ถูกต้องและทันท่วงทีคือจุดเริ่มต้นที่สำคัญที่สุดของการรักษาที่มีประสิทธิภาพ

ความผิดพลาดในการวินิจฉัย ไม่ว่าจะเป็นการวินิจฉัยล่าช้า การวินิจฉัยผิดพลาด หรือการไม่สามารถวินิจฉัยได้ ล้วนนำไปสู่การรักษาที่ไม่ถูกต้อง ซึ่งอาจสร้างความเสียหายถาวรหรือถึงแก่ชีวิตได้ การรณรงค์ในปีดังกล่าวจึงมุ่งเน้นการพัฒนาระบบสนับสนุนการตัดสินใจของแพทย์ การใช้เทคโนโลยีช่วยวินิจฉัย และการส่งเสริมให้ผู้ป่วยมีบทบาทในการให้ข้อมูลที่ถูกต้องและครบถ้วน

ตารางเปรียบเทียบประเด็นหลักของวันความปลอดภัยผู้ป่วยโลกในปี 2024 และ 2025
ประเด็น ธีมปี 2024: ปรับปรุงการวินิจฉัย ธีมปี 2025: ความปลอดภัยในเด็กและทารก
คำขวัญ/แนวคิดหลัก Get it right, make it safe! (วินิจฉัยแม่นยำ เพื่อการรักษาที่ปลอดภัย) Safe care for every newborn and every child (ความปลอดภัยของผู้ป่วยตั้งแต่ต้นชีวิต)
กลุ่มเป้าหมายหลัก ผู้ป่วยทั่วไป, แพทย์ผู้วินิจฉัย, นักเทคนิคการแพทย์ ทารกแรกเกิด, เด็ก, กุมารแพทย์, สูติแพทย์, ผู้ปกครอง
เป้าหมายเชิงระบบ พัฒนากระบวนการและเทคโนโลยีช่วยวินิจฉัย ลดความผิดพลาดในการวินิจฉัย สร้างมาตรฐานการดูแลที่ปลอดภัยสำหรับผู้ป่วยเด็กโดยเฉพาะในทุกขั้นตอน
บทบาทของผู้ป่วย/ครอบครัว การให้ข้อมูลอาการที่ถูกต้องและครบถ้วน การซักถามเมื่อมีข้อสงสัย การสังเกตอาการผิดปกติ การมีส่วนร่วมในการวางแผนการดูแล การซักถามเกี่ยวกับยาและวัคซีน

สิทธิผู้ป่วย: หัวใจสำคัญของการสร้างความปลอดภัยในการรักษา

แม้ว่าระบบและบุคลากรทางการแพทย์จะมีบทบาทหลักในการสร้างความปลอดภัย แต่ผู้ป่วยเองก็เป็นองค์ประกอบที่สำคัญอย่างยิ่งในการป้องกันความผิดพลาด การตระหนักรู้และใช้ “สิทธิผู้ป่วย” อย่างเหมาะสมเปรียบเสมือนเป็นปราการด่านสุดท้ายที่ช่วยตรวจสอบและยืนยันความถูกต้องของกระบวนการรักษา องค์การอนามัยโลกสนับสนุนอย่างยิ่งให้ผู้ป่วยและผู้ดูแลมีความรู้และทักษะในการปกป้องตนเอง

สิทธิพื้นฐานที่ควรรู้ก่อนเข้ารับบริการทางการแพทย์

ก่อนการตัดสินใจรับการรักษาใดๆ ผู้ป่วยมีสิทธิพื้นฐานหลายประการที่ควรทราบและนำมาใช้เพื่อเพิ่มความปลอดภัยให้ตนเอง ดังนี้:

  • สิทธิที่จะได้รับข้อมูลอย่างครบถ้วน: ผู้ป่วยมีสิทธิที่จะได้รับฟังคำอธิบายเกี่ยวกับอาการ การวินิจฉัยโรค แผนการรักษา ทางเลือกในการรักษา ความเสี่ยงและประโยชน์ของแต่ละทางเลือก รวมถึงค่าใช้จ่ายที่คาดว่าจะเกิดขึ้น ด้วยภาษาที่เข้าใจง่ายและชัดเจน
  • สิทธิที่จะซักถามและได้รับคำตอบ: การหาหมอไม่ใช่การสื่อสารทางเดียว ผู้ป่วยมีสิทธิที่จะถามคำถามทุกข้อที่สงสัยเกี่ยวกับสภาวะของตนเอง และบุคลากรทางการแพทย์มีหน้าที่ต้องตอบคำถามเหล่านั้นอย่างเต็มใจและไม่ปิดบัง
  • สิทธิในการขอความเห็นที่สอง (Second Opinion): หากยังไม่มั่นใจในคำวินิจฉัยหรือแผนการรักษาที่ได้รับ ผู้ป่วยมีสิทธิโดยสมบูรณ์ที่จะปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญท่านอื่นเพื่อขอความเห็นเพิ่มเติมประกอบการตัดสินใจ การทำเช่นนี้ไม่ใช่การไม่เคารพแพทย์ท่านแรก แต่เป็นกระบวนการปกติเพื่อให้ได้ข้อมูลที่รอบด้านที่สุด
  • สิทธิในการตัดสินใจเลือกวิธีการรักษา: หลังจากได้รับข้อมูลครบถ้วนแล้ว ผู้ป่วยคือผู้มีสิทธิในการตัดสินใจว่าจะยอมรับหรือปฏิเสธวิธีการรักษาที่แพทย์เสนอแนะ (ยกเว้นกรณีฉุกเฉินที่เป็นอันตรายถึงชีวิต)
  • สิทธิในการเข้าถึงข้อมูลสุขภาพของตนเอง: ผู้ป่วยมีสิทธิที่จะขอตรวจสอบหรือคัดลอกเวชระเบียนของตนเอง เพื่อนำไปใช้ประกอบการรักษาต่อหรือเพื่อตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล

เทคนิคการสื่อสารกับแพทย์เพื่อความปลอดภัยสูงสุด

การรู้สิทธิเป็นเพียงก้าวแรก การสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพคือเครื่องมือที่จะทำให้การใช้สิทธินั้นเกิดประโยชน์สูงสุด มีเคล็ดลับสุขภาพง่ายๆ ที่สามารถนำไปปรับใช้ได้:

  1. เตรียมตัวก่อนไปพบแพทย์: จดบันทึกอาการที่เป็นตามลำดับเวลา, คำถามที่ต้องการถาม, รายชื่อยาทั้งหมดที่กำลังใช้อยู่ (รวมถึงยา สมุนไพร และอาหารเสริม) และประวัติการแพ้ยา การเตรียมข้อมูลล่วงหน้าจะช่วยให้การสื่อสารราบรื่นและไม่ตกหล่นประเด็นสำคัญ
  2. พาเพื่อนหรือญาติไปด้วย: การมีผู้ติดตามไปรับฟังข้อมูลด้วยกันจะช่วยในการจดจำรายละเอียด และยังสามารถช่วยถามคำถามในมุมที่อาจนึกไม่ถึงได้
  3. ทวนความเข้าใจ: หลังจากฟังคำอธิบายจากแพทย์แล้ว ลองสรุปความเข้าใจของตนเองให้แพทย์ฟังอีกครั้ง เช่น “สรุปว่าอาการนี้เกิดจาก… และต้องทานยา… วันละ… ครั้ง ถูกต้องไหมครับ/คะ” เพื่อให้แน่ใจว่าข้อมูลที่ได้รับนั้นถูกต้องตรงกัน
  4. อย่าลังเลที่จะพูดว่า “ไม่เข้าใจ”: หากมีศัพท์เทคนิคทางการแพทย์หรือคำอธิบายส่วนไหนที่ไม่ชัดเจน ควรขอให้แพทย์อธิบายซ้ำด้วยภาษาที่ง่ายขึ้น การทำความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนอาจนำไปสู่การปฏิบัติตัวที่ไม่ถูกต้องและเกิดอันตรายได้

วันความปลอดภัยผู้ป่วยโลกในบริบทของประเทศไทย

ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศสมาชิกขององค์การอนามัยโลกที่ให้ความสำคัญกับวาระความปลอดภัยของผู้ป่วยอย่างต่อเนื่อง หน่วยงานภาครัฐและเอกชนในระบบสาธารณสุขได้มีการจัดกิจกรรมและขับเคลื่อนนโยบายที่สอดคล้องกับการรณรงค์ระดับโลกมาโดยตลอด เพื่อยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยในโรงพยาบาลและสถานพยาบาลทั่วประเทศ

การขับเคลื่อนวาระความปลอดภัยในระบบสาธารณสุขไทย

ทุกๆ ปี ในช่วงวันที่ 17 กันยายน สถาบันรับรองคุณภาพสถานพยาบาล (องค์การมหาชน) หรือ สรพ. ร่วมกับกระทรวงสาธารณสุขและภาคีเครือข่าย จะจัดกิจกรรมรณรงค์และจัดการประชุมวิชาการระดับชาติขึ้น เพื่อเป็นเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้และนำเสนอแนวปฏิบัติที่ดีที่สุดในการดูแลผู้ป่วยอย่างปลอดภัย

ตัวอย่างเช่น ในปี 2567 ได้มีการจัดงานวันความปลอดภัยผู้ป่วยโลก ครั้งที่ 6 ในประเทศไทย ณ กรุงเทพมหานคร ซึ่งมีการจัดกิจกรรมหลากหลายรูปแบบ ทั้งการบรรยายโดยผู้เชี่ยวชาญ การเสวนาแลกเปลี่ยนประสบการณ์จากโรงพยาบาลต่างๆ และการนำเสนอนวัตกรรมที่ช่วยเพิ่มความปลอดภัยในการดูแลรักษา กิจกรรมเหล่านี้ไม่เพียงแต่สร้างความตระหนักรู้ในหมู่บุคลากรทางการแพทย์ แต่ยังเป็นการส่งสารไปยังประชาชนทั่วไปให้เห็นถึงความสำคัญของการมีส่วนร่วมในการสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยอีกด้วย

การขับเคลื่อนในประเทศไทยมุ่งเน้นการนำมาตรฐานสากลมาปรับใช้ให้เข้ากับบริบทของประเทศ เช่น การพัฒนาระบบรายงานอุบัติการณ์ การส่งเสริมการสื่อสารในทีมสหวิชาชีพ และการให้ความรู้แก่ประชาชนเกี่ยวกับสิทธิผู้ป่วย ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของเป้าหมายใหญ่ในการลดอันตรายที่สามารถป้องกันได้ให้เหลือน้อยที่สุด

สร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยเพื่ออนาคตของระบบสุขภาพ

โดยสรุปแล้ว 17 ก.ย. วันความปลอดภัยผู้ป่วยโลก ไม่ใช่เป็นเพียงวันสำคัญสำหรับบุคลากรทางการแพทย์เท่านั้น แต่เป็นวันของทุกคนที่เกี่ยวข้องกับระบบสุขภาพ การสร้างความปลอดภัยที่ยั่งยืนต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่าย ตั้งแต่ผู้กำหนดนโยบายที่ต้องสร้างระบบที่เอื้ออำนวย ผู้บริหารสถานพยาบาลที่ต้องลงทุนในโครงสร้างและเทคโนโลยี ไปจนถึงบุคลากรทางการแพทย์ที่ต้องปฏิบัติตามมาตรฐานอย่างเคร่งครัด

ในขณะเดียวกัน บทบาทของผู้ป่วยและครอบครัวก็มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน การเป็นผู้ป่วยเชิงรุก (Active Patient) ที่มีความรู้ความเข้าใจในสิทธิของตนเอง กล้าที่จะซักถาม และมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ คือกุญแจสำคัญที่จะช่วยปิดช่องว่างความเสี่ยงและป้องกันความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นได้ การตระหนักว่าความปลอดภัยเป็นความรับผิดชอบร่วมกัน จะนำไปสู่การสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยที่เข้มแข็ง ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของระบบสาธารณสุขที่ทุกคนเชื่อมั่นและไว้วางใจได้ในอนาคต

สั่งเสื้อ

ตุลาคม 2025
จ. อ. พ. พฤ. ศ. ส. อา.
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031