Shopping cart

29 ก.ย. วันหัวใจโลก: 5 สัญญาณเตือนโรคหัวใจต้องรู้

สารบัญ

โรคหัวใจและหลอดเลือดยังคงเป็นสาเหตุหลักของการเสียชีวิตทั่วโลก การตระหนักถึงความสำคัญของการดูแลสุขภาพหัวใจจึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับทุกคน โดยเฉพาะการเรียนรู้และสังเกตสัญญาณเตือนเบื้องต้นของโรค เพื่อให้สามารถรับมือและเข้ารับการรักษาได้อย่างทันท่วงที

ประเด็นสำคัญที่ควรทราบ

  • วันหัวใจโลก: วันที่ 29 กันยายนของทุกปี ถูกกำหนดขึ้นเพื่อรณรงค์ให้ผู้คนทั่วโลกตระหนักถึงอันตรายของโรคหัวใจและหลอดเลือด
  • สาเหตุการเสียชีวิตอันดับหนึ่ง: โรคในกลุ่มนี้เป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้นๆ ของประชากรโลก รวมถึงในประเทศไทย
  • 5 สัญญาณเตือนหลัก: อาการสำคัญที่ควรสังเกต ได้แก่ เหนื่อยง่ายผิดปกติ, เจ็บแน่นหน้าอก, หัวใจเต้นผิดจังหวะ, อาการบวมตามร่างกาย, และอาการเวียนศีรษะหรือหน้ามืด
  • ปัจจัยเสี่ยง: ส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมการใช้ชีวิต เช่น การสูบบุหรี่, ขาดการออกกำลังกาย, ภาวะอ้วน, ความดันโลหิตสูง และไขมันในเลือดสูง
  • การป้องกัน: สามารถลดความเสี่ยงได้ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เช่น ควบคุมอาหาร, ออกกำลังกายสม่ำเสมอ, และเลิกสูบบุหรี่

บทความนี้จะเจาะลึกถึงความสำคัญของหัวข้อ 29 ก.ย. วันหัวใจโลก: 5 สัญญาณเตือนโรคหัวใจต้องรู้ เพื่อให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับสัญญาณอันตรายต่างๆ ที่ร่างกายอาจแสดงออกมา ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม การทำความเข้าใจอาการเหล่านี้ไม่เพียงแต่ช่วยให้ตระหนักถึงความเสี่ยง แต่ยังเป็นก้าวแรกที่สำคัญในการป้องกันและดูแลสุขภาพหัวใจให้แข็งแรงอย่างยั่งยืน โรคหัวใจมักถูกเรียกว่า “ภัยเงียบ” เนื่องจากอาการในระยะเริ่มต้นอาจไม่รุนแรงและมักถูกละเลย ดังนั้น การให้ความสำคัญกับวันหัวใจโลกจึงเป็นโอกาสอันดีที่จะทบทวนพฤติกรรมสุขภาพและเรียนรู้ข้อมูลที่จำเป็นเพื่อปกป้องอวัยวะที่สำคัญที่สุดของร่างกาย

ความสำคัญของวันหัวใจโลกและสถานการณ์ปัจจุบัน

ทุกๆ ปี วันที่ 29 กันยายน ถูกกำหนดให้เป็นวันหัวใจโลก (World Heart Day) เพื่อเป็นเครื่องย้ำเตือนให้ประชากรโลกหันมาใส่ใจสุขภาพหัวใจของตนเองและคนรอบข้างมากขึ้น เนื่องจากโรคหัวใจและหลอดเลือดอยังคงเป็นปัญหาด้านสาธารณสุขที่สำคัญและเป็นสาเหตุการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรของคนจำนวนมากทั่วโลก

เจตนารมณ์แห่งวันหัวใจโลก

วันหัวใจโลกถูกจัดตั้งขึ้นโดยสมาพันธ์หัวใจโลก (World Heart Federation) เพื่อสร้างความตระหนักรู้และส่งเสริมให้เกิดการลงมือปฏิบัติเพื่อลดอุบัติการณ์ของโรคหัวใจและหลอดเลือด การรณรงค์ในแต่ละปีมุ่งเน้นไปที่การให้ความรู้แก่ประชาชนเกี่ยวกับปัจจัยเสี่ยงต่างๆ และกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในระดับบุคคล ชุมชน และภาครัฐ เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการมีสุขภาพหัวใจที่ดี ตั้งแต่การส่งเสริมนโยบายลดการบริโภคยาสูบ ไปจนถึงการสนับสนุนให้มีพื้นที่สาธารณะสำหรับการออกกำลังกาย

โรคหัวใจ: ภัยเงียบที่คุกคามคนทั่วโลก

ข้อมูลจากองค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่าโรคหัวใจและหลอดเลือดเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับหนึ่งของโลกมาอย่างต่อเนื่อง สำหรับประเทศไทย สถานการณ์ก็ไม่แตกต่างกันมากนัก จำนวนผู้ป่วยและผู้เสียชีวิตจากโรคนี้มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปี สาเหตุสำคัญส่วนหนึ่งมาจากวิถีชีวิตสมัยใหม่ที่เร่งรีบ ความเครียดสะสม การบริโภคอาหารที่มีไขมันและน้ำตาลสูง รวมถึงการขาดการออกกำลังกายอย่างเพียงพอ ปัจจัยเหล่านี้ล้วนส่งผลเสียต่อระบบหัวใจและหลอดเลือดโดยตรง การรณรงค์ในวันหัวใจโลกจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งในการกระตุ้นให้สังคมไทยตระหนักถึงปัญหานี้และร่วมมือกันป้องกันก่อนที่จะสายเกินไป

ถอดรหัส: 5 สัญญาณเตือนโรคหัวใจที่ต้องสังเกต

ถอดรหัส: 5 สัญญาณเตือนโรคหัวใจที่ต้องสังเกต

การรู้จักและสังเกตอาการผิดปกติของร่างกายเป็นด่านแรกของการป้องกันโรคหัวใจที่รุนแรง สัญญาณเตือนทั้ง 5 ประการต่อไปนี้เป็นอาการที่พบบ่อย ซึ่งอาจบ่งชี้ถึงความผิดปกติในการทำงานของหัวใจและระบบไหลเวียนโลหิต

1. อาการเหนื่อยง่ายผิดปกติ

อาการเหนื่อยง่ายในบริบทนี้ไม่ได้หมายถึงความเหนื่อยล้าจากการทำงานหนักหรือออกกำลังกาย แต่เป็นความรู้สึกเหนื่อยหอบที่เกิดขึ้นจากกิจกรรมที่เคยทำได้ปกติในชีวิตประจำวัน เช่น การเดินขึ้นบันไดเพียงชั้นเดียว, การเดินซื้อของ, หรือแม้กระทั่งการทำกิจกรรมเบาๆ ภายในบ้าน อาการนี้เกิดจากหัวใจไม่สามารถสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ร่างกายได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอ นอกจากนี้ บางรายอาจมีอาการเหนื่อยหอบขณะนอนราบ จนต้องลุกขึ้นมานั่งหรือใช้หมอนหลายใบหนุนศีรษะให้สูงขึ้นเพื่อช่วยให้หายใจสะดวกขึ้น ซึ่งเป็นสัญญาณของภาวะหัวใจล้มเหลวที่ควรได้รับการตรวจวินิจฉัยโดยด่วน

2. เจ็บแน่นหน้าอก

เป็นอาการคลาสสิกที่คนส่วนใหญ่นึกถึงเมื่อพูดถึงโรคหัวใจ ลักษณะอาการอาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล บางคนอาจรู้สึกเหมือนมีของหนักมาทับบริเวณกลางหน้าอก บางคนรู้สึกแน่นๆ อึดอัด หรือจุกเสียด อาการเจ็บอาจร้าวไปที่แขนซ้าย คอ กราม หรือบริเวณหลังได้ โดยทั่วไป อาการเจ็บหน้าอกจากภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดมักจะถูกกระตุ้นโดยการออกแรง การทำงานหนัก หรือความเครียดทางอารมณ์ และจะทุเลาลงเมื่อได้พัก อย่างไรก็ตาม หากอาการเจ็บเกิดขึ้นขณะพัก หรือมีความรุนแรงมากขึ้นและนานกว่าปกติ อาจเป็นสัญญาณของภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน ซึ่งเป็นภาวะฉุกเฉินที่ต้องรีบไปโรงพยาบาลทันที

3. หัวใจเต้นผิดจังหวะหรือใจสั่น

ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ (Arrhythmia) สามารถแสดงอาการได้หลากหลาย ตั้งแต่รู้สึกใจสั่นเหมือนหัวใจเต้นรัวและแรงผิดปกติ, รู้สึกเหมือนหัวใจ “กระตุก” หรือ “หยุดเต้นไปชั่วขณะ” ไปจนถึงอาการหัวใจเต้นช้ากว่าปกติ แม้อาการเหล่านี้อาจเกิดขึ้นได้จากปัจจัยอื่น เช่น ความเครียด, การดื่มคาเฟอีน, หรือการพักผ่อนไม่เพียงพอ แต่หากเกิดขึ้นบ่อยครั้งโดยไม่มีสาเหตุชัดเจน หรือมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น เวียนศีรษะ หน้ามืด หรือเป็นลม ควรปรึกษาแพทย์ เนื่องจากภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะบางชนิดอาจเป็นอันตรายและนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงได้

4. อาการบวมตามร่างกาย

อาการบวม (Edema) โดยเฉพาะบริเวณปลายเท้า ข้อเท้า และขา เป็นสัญญาณที่บ่งชี้ว่าระบบไหลเวียนโลหิตทำงานได้ไม่ดีนัก เมื่อหัวใจอ่อนแอลงและไม่สามารถสูบฉีดเลือดได้อย่างมีประสิทธิภาพ จะทำให้เลือดไหลเวียนกลับจากส่วนปลายของร่างกายได้ยากขึ้น เกิดการคั่งของของเหลวในหลอดเลือดและซึมออกไปสะสมตามเนื้อเยื่อต่างๆ ลักษณะการบวมที่น่าสงสัยคือเมื่อใช้นิ้วกดลงบนบริเวณที่บวมแล้วผิวหนังจะบุ๋มลงไปและคืนตัวช้า ในระยะแรกอาจสังเกตเห็นได้ชัดในช่วงเย็นหลังจากการยืนหรือนั่งนานๆ แต่หากภาวะหัวใจล้มเหลวรุนแรงขึ้น อาการบวมอาจเกิดขึ้นตลอดทั้งวันและลามขึ้นมาถึงบริเวณท้องหรือปอดได้

5. เวียนศีรษะ หน้ามืด หรือเป็นลม

อาการเหล่านี้เป็นผลมาจากการที่สมองได้รับเลือดและออกซิเจนไปเลี้ยงไม่เพียงพอชั่วขณะ ซึ่งอาจเกิดได้จากหลายสาเหตุที่เกี่ยวข้องกับหัวใจ เช่น หัวใจเต้นช้าหรือเร็วเกินไปจนไม่มีประสิทธิภาพในการสูบฉีดเลือด, ความดันโลหิตลดต่ำลงกะทันหัน, หรือการอุดตันของหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงสมอง แม้ว่าอาการเวียนศีรษะเล็กน้อยอาจไม่น่ากังวล แต่หากเกิดขึ้นบ่อยครั้ง รู้สึกเหมือนจะหมดสติ หรือถึงขั้นเป็นลมหมดสติ (Syncope) ถือเป็นสัญญาณอันตรายที่ไม่ควรเพิกเฉย เพราะอาจเป็นอาการนำของโรคหัวใจที่รุนแรงได้

ตารางสรุป 5 สัญญาณเตือนโรคหัวใจและลักษณะอาการสำคัญ
สัญญาณเตือน ลักษณะอาการที่ควรสังเกต สถานการณ์ที่มักพบอาการ
1. เหนื่อยง่าย รู้สึกหอบ หายใจไม่ทัน หรืออ่อนเพลียเกินควรจากกิจกรรมปกติ มีอาการเหนื่อยขณะนอนราบ ขณะเดินขึ้นบันได ทำงานบ้าน หรือแม้กระทั่งขณะพักผ่อนหรือนอนหลับ
2. เจ็บแน่นหน้าอก รู้สึกแน่น อึดอัด เหมือนมีอะไรมาทับ อาจมีอาการปวดร้าวไปที่แขน คอ หรือกราม มักเกิดขึ้นเมื่อออกแรง, มีความเครียด หรือหลังรับประทานอาหารมื้อหนัก
3. หัวใจเต้นผิดจังหวะ ใจสั่น รู้สึกหัวใจเต้นแรง เต้นเร็ว หรือเต้นไม่เป็นจังหวะ เหมือนหัวใจกระตุกหรือหยุดเต้น อาจเกิดขึ้นได้ทุกเวลา โดยไม่มีปัจจัยกระตุ้นที่ชัดเจน
4. อาการบวม บวมบริเวณข้อเท้า เท้า ขา เมื่อกดแล้วบุ๋ม น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว มักสังเกตเห็นได้ชัดในช่วงบ่ายหรือเย็น หลังจากยืนหรือนั่งเป็นเวลานาน
5. เวียนศีรษะ/เป็นลม รู้สึกมึนงง โคลงเคลง บ้านหมุน หน้ามืดคล้ายจะเป็นลม หรือหมดสติไปชั่วครู่ มักเกิดขึ้นขณะเปลี่ยนอิริยาบถอย่างรวดเร็ว เช่น ลุกขึ้นยืนทันที

เจาะลึกปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจ

การเกิดโรคหัวใจเป็นผลมาจากปัจจัยหลายอย่างประกอบกัน ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็นสองกลุ่มหลัก คือปัจจัยที่สามารถปรับเปลี่ยนหรือควบคุมได้ และปัจจัยที่ไม่สามารถควบคุมได้ การทำความเข้าใจปัจจัยเหล่านี้จะช่วยให้สามารถวางแผนป้องกันโรคได้อย่างตรงจุด

ปัจจัยเสี่ยงที่ปรับเปลี่ยนได้

ปัจจัยกลุ่มนี้ส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมการใช้ชีวิต ซึ่งหมายความว่าทุกคนสามารถลดความเสี่ยงของตนเองลงได้ด้วยความตั้งใจ

พฤติกรรมสุขภาพที่ไม่เหมาะสมเป็นสาเหตุหลักส่วนใหญ่ของโรคหัวใจและหลอดเลือด การปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตจึงเป็นหัวใจสำคัญของการป้องกัน

  • ความดันโลหิตสูง: ภาวะที่แรงดันในหลอดเลือดแดงสูงเกินไป ทำให้หัวใจต้องทำงานหนักขึ้นในการสูบฉีดเลือด และเป็นสาเหตุให้ผนังหลอดเลือดเสื่อมสภาพเร็วขึ้น
  • ไขมันในเลือดสูง: โดยเฉพาะคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี (LDL) ที่สูงเกินไป จะไปเกาะตามผนังหลอดเลือด ทำให้เกิดภาวะหลอดเลือดแดงแข็งและตีบตัน
  • โรคเบาหวาน: ระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงเป็นเวลานานจะทำลายผนังหลอดเลือดทั่วร่างกาย รวมถึงหลอดเลือดหัวใจ ทำให้เสี่ยงต่อการอุดตันมากขึ้น
  • การสูบบุหรี่: สารนิโคตินและสารพิษอื่นๆ ในควันบุหรี่ทำลายความยืดหยุ่นของหลอดเลือด เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดลิ่มเลือด และทำให้หัวใจเต้นเร็วขึ้น
  • ภาวะอ้วนหรือน้ำหนักเกิน: โดยเฉพาะการมีไขมันสะสมบริเวณหน้าท้อง เป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่สัมพันธ์กับภาวะความดันสูง ไขมันสูง และเบาหวาน
  • การขาดการออกกำลังกาย: การใช้ชีวิตแบบนั่งๆ นอนๆ ทำให้หัวใจไม่แข็งแรง ระบบเผาผลาญทำงานได้ไม่ดี และเสี่ยงต่อภาวะอ้วนได้ง่าย
  • ความเครียดเรื้อรัง: ความเครียดส่งผลให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนที่ทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้นและหัวใจเต้นเร็วขึ้น ซึ่งเป็นภาระต่อหัวใจในระยะยาว

ปัจจัยเสี่ยงที่ควบคุมไม่ได้

แม้จะมีปัจจัยบางอย่างที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ แต่การตระหนักรู้ถึงความเสี่ยงเหล่านี้จะช่วยให้เพิ่มความระมัดระวังในการดูแลสุขภาพด้านอื่นๆ มากขึ้น

  • พันธุกรรมและประวัติครอบครัว: หากมีบุคคลในครอบครัวสายตรง (พ่อ แม่ พี่น้อง) เป็นโรคหัวใจตั้งแต่อายุยังน้อย ก็จะมีความเสี่ยงสูงกว่าคนทั่วไป
  • อายุ: ความเสี่ยงของโรคหัวใจจะเพิ่มขึ้นตามอายุที่มากขึ้น เนื่องจากความเสื่อมของหลอดเลือดและหัวใจตามธรรมชาติ
  • เพศ: โดยทั่วไป เพศชายมีความเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจสูงกว่าเพศหญิงในวัยก่อนหมดประจำเดือน แต่หลังจากวัยหมดประจำเดือนแล้ว ความเสี่ยงของเพศหญิงจะเพิ่มขึ้นจนใกล้เคียงกับเพศชาย

แนวทางการป้องกันและสร้างเสริมสุขภาพหัวใจให้แข็งแรง

ข่าวดีคือโรคหัวใจและหลอดเลือดส่วนใหญ่สามารถป้องกันได้ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตตามหลักการ “ดื่มกินอย่างชาญฉลาด เลิกสูบบุหรี่ และออกกำลังกายสม่ำเสมอ” ถือเป็นเกราะป้องกันที่ดีที่สุด

ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภค

อาหารที่รับประทานมีผลโดยตรงต่อสุขภาพหัวใจ ควรเน้นการรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ในสัดส่วนที่เหมาะสม ลดอาหารรสหวานจัด มันจัด และเค็มจัด เลือกรับประทานไขมันดีจากปลาทะเล อะโวคาโด หรือถั่วต่างๆ เพิ่มปริมาณผักและผลไม้สดซึ่งอุดมไปด้วยวิตามินและใยอาหาร และเลือกรับประทานธัญพืชไม่ขัดสี เช่น ข้าวกล้อง ขนมปังโฮลวีท เพื่อช่วยควบคุมระดับไขมันและน้ำตาลในเลือด

การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

การออกกำลังกายเปรียบเสมือนการบริหารกล้ามเนื้อหัวใจให้แข็งแรง ควรออกกำลังกายแบบแอโรบิก เช่น เดินเร็ว วิ่งเหยาะๆ ว่ายน้ำ หรือปั่นจักรยาน อย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์ หรือประมาณ 30 นาที 5 วันต่อสัปดาห์ การออกกำลังกายไม่เพียงแต่ช่วยควบคุมน้ำหนัก แต่ยังช่วยลดความดันโลหิต ปรับปรุงระดับไขมันในเลือด และลดความเครียดได้อีกด้วย

หลีกเลี่ยงปัจจัยทำลายสุขภาพ

การเลิกสูบบุหรี่ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งในการลดความเสี่ยงโรคหัวใจ นอกจากนี้ ควรจำกัดการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ จัดการกับความเครียดด้วยวิธีที่สร้างสรรค์ เช่น การทำสมาธิ การทำงานอดิเรก หรือการพูดคุยกับเพื่อนและครอบครัว และที่สำคัญคือการนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ เพราะการนอนหลับที่มีคุณภาพช่วยให้ร่างกายและหัวใจได้ฟื้นฟูอย่างเต็มที่

บทสรุป: การตระหนักรู้คือเกราะป้องกันที่ดีที่สุด

เนื่องในโอกาส 29 ก.ย. วันหัวใจโลก: 5 สัญญาณเตือนโรคหัวใจต้องรู้ จึงเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับทุกคนในการหันกลับมาทบทวนและใส่ใจสุขภาพหัวใจของตนเอง การเข้าใจถึงความรุนแรงของโรค ปัจจัยเสี่ยงต่างๆ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งการจดจำสัญญาณเตือนทั้ง 5 ประการ จะช่วยให้สามารถรับมือกับความผิดปกติที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว โรคหัวใจไม่ใช่เรื่องไกลตัว และการป้องกันเริ่มต้นได้ง่ายๆ ที่ตัวเราเองด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตให้มีสุขภาพดีขึ้น การสังเกตความเปลี่ยนแปลงของร่างกายและการปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเมื่อพบความผิดปกติ คือกุญแจสำคัญสู่การมีหัวใจที่แข็งแรงและชีวิตที่ยืนยาว

สั่งเสื้อ

ตุลาคม 2025
จ. อ. พ. พฤ. ศ. ส. อา.
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031