Shopping cart

21 ก.ย. วันอัลไซเมอร์โลก: เช็ค 10 สัญญาณเตือน

สารบัญ

บทความนี้จะเจาะลึกถึงความสำคัญของวันที่ 21 ก.ย. วันอัลไซเมอร์โลก: เช็ค 10 สัญญาณเตือน เพื่อสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับโรคอัลไซเมอร์ ซึ่งเป็นภาวะสมองเสื่อมที่พบบ่อยที่สุดและส่งผลกระทบต่อผู้คนนับล้านทั่วโลก การตระหนักรู้ถึงสัญญาณเตือนเบื้องต้นเป็นก้าวแรกที่สำคัญในการรับมือ ดูแล และวางแผนสำหรับอนาคตได้อย่างเหมาะสม

ประเด็นสำคัญที่น่าสนใจ

  • ความหมายของวันอัลไซเมอร์โลก: วันที่ 21 กันยายน มีขึ้นเพื่อรณรงค์ให้สังคมโลกตระหนักถึงผลกระทบของโรคอัลไซเมอร์และภาวะสมองเสื่อมประเภทอื่นๆ
  • 10 สัญญาณเตือนสำคัญ: การเปลี่ยนแปลงด้านความจำ การแก้ปัญหา การทำกิจวัตรประจำวัน และพฤติกรรม เป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้ามและอาจบ่งชี้ถึงการเริ่มต้นของโรค
  • ปัจจัยเสี่ยงและแนวทางป้องกัน: อายุเป็นปัจจัยเสี่ยงหลัก แต่พฤติกรรมการใช้ชีวิต เช่น การออกกำลังกาย การเข้าสังคม และโภชนาการ สามารถช่วยลดความเสี่ยงและชะลอความเสื่อมของสมองได้
  • การวินิจฉัยตั้งแต่เนิ่นๆ คือกุญแจสำคัญ: แม้ยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาด การตรวจพบโรคตั้งแต่ระยะแรกช่วยให้ผู้ป่วยและครอบครัวสามารถวางแผนการดูแลและเข้าถึงการรักษาเพื่อควบคุมอาการได้ดีขึ้น

ความสำคัญของวันอัลไซเมอร์โลก

โรคอัลไซเมอร์คืออะไร: ทำความเข้าใจภาวะสมองเสื่อม

ในทุกๆ ปี วันที่ 21 กันยายน ถูกกำหนดให้เป็น วันอัลไซเมอร์โลก (World Alzheimer’s Day) โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อสร้างความตระหนักรู้และความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับโรคอัลไซเมอร์และภาวะสมองเสื่อมในวงกว้าง วันนี้เป็นโอกาสสำคัญที่องค์กรด้านสุขภาพ หน่วยงานภาครัฐ และชุมชนทั่วโลกจะร่วมกันจัดกิจกรรมให้ความรู้ รณรงค์ต่อต้านความเข้าใจผิด และสนับสนุนผู้ป่วยรวมถึงผู้ดูแล การทำความเข้าใจเกี่ยวกับ 21 ก.ย. วันอัลไซเมอร์โลก: เช็ค 10 สัญญาณเตือน จึงไม่ใช่แค่เรื่องของทางการแพทย์ แต่เป็นเรื่องของสังคมที่ทุกคนควรให้ความสนใจ เพื่อสร้างสังคมที่พร้อมให้การสนับสนุนและดูแลผู้สูงอายุอย่างมีคุณภาพ

ประวัติและความเป็นมา

วันอัลไซเมอร์โลกเป็นส่วนหนึ่งของเดือนแห่งการรณรงค์อัลไซเมอร์โลก (World Alzheimer’s Month) ซึ่งริเริ่มโดยองค์การอัลไซเมอร์ระหว่างประเทศ (Alzheimer’s Disease International – ADI) ตั้งแต่ปี 2012 แนวคิดนี้เกิดขึ้นเพื่อขยายผลจากการรณรงค์เพียงวันเดียวให้ครอบคลุมตลอดทั้งเดือนกันยายน เพื่อให้มีเวลาและโอกาสในการสื่อสารข้อมูลสำคัญไปสู่สาธารณะได้มากยิ่งขึ้น

ชื่อของโรค “อัลไซเมอร์” มาจากการค้นพบของจิตแพทย์และนักประสาทวิทยาชาวเยอรมันนามว่า ดร.อาลอยซ์ อัลไซเมอร์ (Dr. Alois Alzheimer) ในปี 1906 (พ.ศ. 2449) เขาเป็นบุคคลแรกที่อธิบายถึงลักษณะการเปลี่ยนแปลงที่ผิดปกติในเนื้อเยื่อสมองของผู้หญิงคนหนึ่งที่เสียชีวิตจากอาการป่วยทางจิตที่ไม่เคยพบมาก่อน ซึ่งมีอาการสูญเสียความทรงจำ ปัญหาด้านภาษา และพฤติกรรมที่คาดเดาไม่ได้ การค้นพบของเขาได้วางรากฐานความเข้าใจต่อโรคสมองเสื่อมที่ซับซ้อนนี้ และเป็นที่มาของชื่อโรคที่ใช้กันมาจนถึงปัจจุบัน

โรคอัลไซเมอร์คืออะไร: ทำความเข้าใจภาวะสมองเสื่อม

โรคอัลไซเมอร์คืออะไร: ทำความเข้าใจภาวะสมองเสื่อม

โรคอัลไซเมอร์เป็นโรคความเสื่อมของระบบประสาทที่ส่งผลให้สมองฝ่อลงและการทำงานของเซลล์สมองลดลงอย่างช้าๆ และต่อเนื่อง จัดเป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุดของภาวะสมองเสื่อม (Dementia) ซึ่งเป็นกลุ่มอาการที่ส่งผลกระทบต่อความจำ การคิด การใช้เหตุผล และทักษะทางสังคมอย่างรุนแรงจนรบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน

ในระยะเริ่มต้น ผู้ป่วยอาจมีอาการหลงลืมเล็กน้อย แต่เมื่อเวลาผ่านไป อาการจะรุนแรงขึ้นจนกระทั่งไม่สามารถสนทนาหรือตอบสนองต่อสิ่งรอบข้างได้ โรคนี้ไม่ใช่ส่วนหนึ่งของกระบวนการชราตามปกติ แต่เป็นภาวะทางการแพทย์ที่เกิดจากความผิดปกติของโปรตีนในสมอง (เบต้า-อะไมลอยด์ และ เทา) ที่สะสมจนทำลายเซลล์ประสาท

ความแตกต่างระหว่างการหลงลืมตามวัยกับโรคอัลไซเมอร์

การแยกแยะระหว่างการหลงลืมที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติเมื่ออายุมากขึ้นกับสัญญาณเริ่มต้นของโรคอัลไซเมอร์เป็นสิ่งสำคัญ การหลงลืมตามวัยโดยทั่วไปไม่ส่งผลกระทบร้ายแรงต่อการใช้ชีวิตประจำวัน ในขณะที่อาการของโรคอัลไซเมอร์จะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ และบั่นทอนความสามารถในการดูแลตนเอง

ตารางเปรียบเทียบระหว่างอาการหลงลืมตามวัยและสัญญาณเตือนของโรคอัลไซเมอร์
ลักษณะอาการ การหลงลืมตามวัย (ปกติ) สัญญาณเตือนของโรคอัลไซเมอร์
การตัดสินใจ อาจตัดสินใจผิดพลาดบ้างเป็นครั้งคราว ตัดสินใจผิดพลาดบ่อยครั้ง หรือตัดสินใจได้ไม่ดีอย่างเห็นได้ชัด เช่น เรื่องการเงิน
การทำตามขั้นตอน อาจพลาดการชำระบิลรายเดือนไปบ้าง ไม่สามารถจัดการงบประมาณหรือทำตามสูตรอาหารที่คุ้นเคยได้
การจำวันและเวลา ลืมว่าวันนี้เป็นวันอะไร แต่นึกออกในภายหลัง สับสนเรื่องวัน เดือน ปี หรือฤดูกาลอย่างต่อเนื่อง
การหาคำพูด บางครั้งนึกคำที่ต้องการพูดไม่ออก มีปัญหาในการสนทนา หยุดพูดกลางคัน หรือเรียกชื่อสิ่งของผิดบ่อยๆ
การวางของ วางของผิดที่ แต่สามารถย้อนคิดและหาเจอได้ วางของในที่ที่ไม่ควรอยู่ (เช่น เอากุญแจไปไว้ในตู้เย็น) และหาไม่เจอ

เช็ค 10 สัญญาณเตือนโรคอัลไซเมอร์ที่ต้องสังเกต

การสังเกตการณ์เปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมและความสามารถของคนใกล้ชิดเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง สัญญาณเตือน 10 ประการต่อไปนี้เป็นแนวทางที่ช่วยให้สามารถประเมินเบื้องต้นได้ว่าควรไปปรึกษาแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยหรือไม่

1. การสูญเสียความทรงจำที่ส่งผลต่อชีวิตประจำวัน

อาการที่เด่นชัดที่สุดคือการลืมข้อมูลที่เพิ่งเรียนรู้ใหม่ๆ ลืมวันสำคัญหรือเหตุการณ์สำคัญ ถามคำถามเดิมซ้ำๆ และต้องพึ่งพาเครื่องช่วยจำหรือสมาชิกในครอบครัวมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ต่างจากการลืมชื่อคนหรือนัดหมายเป็นครั้งคราวแล้วนึกออกในภายหลัง

2. ความยากลำบากในการวางแผนและแก้ปัญหา

ผู้ป่วยอาจเริ่มมีปัญหาในการทำตามแผนที่วางไว้หรือการทำงานกับตัวเลข เช่น ทำตามสูตรอาหารที่คุ้นเคยไม่ได้ จัดการการเงินหรือจ่ายบิลรายเดือนไม่ได้ หรือมีสมาธิในการทำงานลดลงอย่างมาก ซึ่งแตกต่างจากการทำผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ ในการคำนวณ

3. อุปสรรคในการทำกิจวัตรที่คุ้นเคย

สิ่งที่เคยทำเป็นประจำกลายเป็นเรื่องยาก เช่น ขับรถไปในเส้นทางที่คุ้นเคย ลืมกฎของเกมที่เล่นเป็นประจำ หรือไม่สามารถจัดการงานในที่ทำงานที่เคยทำได้ดีมาก่อน ซึ่งไม่ใช่การต้องการความช่วยเหลือในการใช้อุปกรณ์ใหม่ๆ เป็นครั้งคราว

4. สับสนเรื่องเวลาและสถานที่

ผู้ป่วยอัลไซเมอร์อาจลืมว่าตัวเองอยู่ที่ไหนหรือมาถึงที่นั่นได้อย่างไร อาจสับสนกับวันที่ ฤดูกาล และกาลเวลา ไม่เข้าใจเหตุการณ์ที่ไม่ได้เกิดขึ้นในทันที ซึ่งต่างจากการลืมว่าวันนี้วันอะไรไปชั่วขณะ

5. ปัญหาด้านการมองเห็นและการรับรู้เชิงมิติสัมพันธ์

สำหรับบางคน ปัญหาด้านการมองเห็นอาจเป็นสัญญาณเริ่มต้น พวกเขาอาจมีปัญหาในการอ่าน กะระยะทาง หรือแยกแยะสีหรือความแตกต่างของวัตถุ ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาในการขับรถได้ นี่ไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงของสายตาตามวัย เช่น ต้อกระจก

6. ปัญหาใหม่ๆ ในการใช้ภาษาพูดและเขียน

ผู้ป่วยอาจมีปัญหาในการติดตามหรือเข้าร่วมวงสนทนา อาจหยุดพูดกลางประโยคและไม่รู้ว่าจะพูดต่ออย่างไร หรืออาจเรียกชื่อสิ่งของผิด (เช่น เรียก “นาฬิกาข้อมือ” ว่า “นาฬิกาแขน”)

7. วางของผิดที่และสูญเสียความสามารถในการย้อนรอย

พวกเขามักจะวางสิ่งของไว้ในที่ที่ไม่ปกติ และไม่สามารถย้อนคิดได้ว่าวางไว้ที่ไหน บางครั้งอาจกล่าวหาว่าคนอื่นขโมยของไป ซึ่งอาการนี้จะเกิดขึ้นบ่อยขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป

8. การตัดสินใจที่แย่ลงหรือไม่เหมาะสม

ผู้ป่วยอาจมีการตัดสินใจที่แย่ลงอย่างเห็นได้ชัด เช่น การใช้จ่ายเงินอย่างฟุ่มเฟือย หรือให้ความสำคัญกับการดูแลตัวเองน้อยลง เช่น ไม่รักษาความสะอาดร่างกาย

9. การถอนตัวจากสังคมและกิจกรรมที่เคยชอบ

พวกเขาอาจเริ่มถอนตัวจากงานอดิเรก กิจกรรมทางสังคม หรือการแข่งขันกีฬาที่เคยชื่นชอบ อาจมีปัญหาในการติดตามทีมโปรด หรือจำวิธีทำกิจกรรมที่เคยรักไม่ได้ และอาจหลีกเลี่ยงการเข้าสังคมเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับตนเอง

10. การเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์และบุคลิกภาพ

อารมณ์และบุคลิกภาพของผู้ป่วยอัลไซเมอร์สามารถเปลี่ยนแปลงได้ พวกเขาอาจกลายเป็นคนสับสน หวาดระแวง ซึมเศร้า หวาดกลัว หรือวิตกกังวล และอาจหงุดหงิดง่ายเมื่ออยู่นอกสภาพแวดล้อมที่คุ้นเคย

ปัจจัยเสี่ยงที่เพิ่มโอกาสเกิดโรคอัลไซเมอร์

แม้สาเหตุที่แท้จริงของโรคอัลไซเมอร์จะยังไม่เป็นที่เข้าใจอย่างสมบูรณ์ แต่งานวิจัยได้ชี้ให้เห็นถึงปัจจัยเสี่ยงหลายประการที่อาจเพิ่มโอกาสในการเกิดโรค ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็นสองกลุ่มหลัก

ปัจจัยที่ไม่สามารถควบคุมได้

  • อายุ: เป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญที่สุด ความเสี่ยงจะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญหลังอายุ 65 ปี
  • พันธุกรรม: ประวัติครอบครัวที่มีผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์สามารถเพิ่มความเสี่ยงได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเป็นญาติสายตรง เช่น พ่อแม่ หรือพี่น้อง
  • เพศ: มีข้อมูลบ่งชี้ว่าผู้หญิงมีความเสี่ยงในการเป็นโรคอัลไซเมอร์สูงกว่าผู้ชาย ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะผู้หญิงมีอายุขัยเฉลี่ยยาวนานกว่า

ปัจจัยด้านพฤติกรรมและวิถีชีวิตที่ปรับเปลี่ยนได้

ปัจจัยเหล่านี้เกี่ยวข้องกับสุขภาพโดยรวมและวิถีชีวิต ซึ่งสามารถปรับเปลี่ยนเพื่อลดความเสี่ยงได้

  • สุขภาพหัวใจและหลอดเลือด: ภาวะต่างๆ ที่ทำลายหัวใจและหลอดเลือด เช่น ความดันโลหิตสูง คอเลสเตอรอลสูง โรคเบาหวาน และโรคอ้วน ล้วนเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคอัลไซเมอร์
  • การใช้ชีวิต: การขาดการออกกำลังกาย, การสูบบุหรี่, การดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป, และโภชนาการที่ไม่ดี ล้วนส่งผลเสียต่อสุขภาพสมอง
  • การศึกษาและการมีส่วนร่วมทางสังคม: การเรียนรู้ตลอดชีวิตและการมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมอย่างสม่ำเสมอช่วยสร้าง “ความสำรองทางปัญญา” (Cognitive Reserve) ซึ่งอาจช่วยชะลอการแสดงอาการของโรคได้
  • สุขภาพอื่นๆ: ปัญหาการนอนหลับไม่ดีเรื้อรัง, ภาวะซึมเศร้าที่ไม่ได้รับการรักษา, ปัญหาการได้ยิน และสุขภาพช่องปากที่ไม่ดี ก็มีความเชื่อมโยงกับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นเช่นกัน

สถานการณ์ทั่วโลกน่าเป็นห่วง โดยมีข้อมูลว่าในทุกๆ 7 วินาที จะมีผู้ป่วยภาวะสมองเสื่อมรายใหม่เกิดขึ้น 1 ราย ซึ่งคิดเป็นจำนวนผู้ป่วยใหม่ประมาณ 4.6 ล้านคนต่อปี การตระหนักถึงปัจจัยเสี่ยงจึงเป็นเรื่องเร่งด่วน

แนวทางการป้องกันและชะลอความเสื่อมของสมอง

ปัจจุบันยังไม่มีวิธีรักษาโรคอัลไซเมอร์ให้หายขาด แต่มีหลักฐานเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ว่าการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตสามารถช่วยลดความเสี่ยงหรือชะลอการเกิดโรคได้ เป้าหมายหลักคือการรักษาสุขภาพสมองให้ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ตลอดช่วงชีวิต

การดูแลสุขภาพองค์รวมเพื่อสมองที่แข็งแรง

แนวทางปฏิบัติที่แนะนำมักจะสอดคล้องกับการดูแลสุขภาพโดยรวมที่ดี ซึ่งประกอบด้วย:

  • การออกกำลังกายสม่ำเสมอ: การออกกำลังกายแบบแอโรบิก เช่น การเดินเร็ว ว่ายน้ำ หรือปั่นจักรยาน อย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์ ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดไปยังสมอง
  • โภชนาการที่ดีต่อสุขภาพ: การรับประทานอาหารที่เน้นพืชผัก ผลไม้ ธัญพืชไม่ขัดสี และไขมันดี เช่น อาหารแบบเมดิเตอร์เรเนียน มีความเชื่อมโยงกับสุขภาพสมองที่ดีขึ้น
  • การกระตุ้นสมอง: ทำกิจกรรมที่ท้าทายความคิดอย่างต่อเนื่อง เช่น การอ่านหนังสือ การเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ การเล่นเกมปริศนา หรือการเล่นดนตรี
  • การเข้าสังคม: การมีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนฝูง ครอบครัว และชุมชน ช่วยลดความเครียดและป้องกันการแยกตัวออกจากสังคม ซึ่งเป็นผลดีต่อสุขภาพจิตและสมอง
  • การนอนหลับที่มีคุณภาพ: การนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับกระบวนการกำจัดของเสียในสมอง รวมถึงโปรตีนที่เกี่ยวข้องกับโรคอัลไซเมอร์

ความสำคัญของการตรวจพบตั้งแต่เนิ่นๆ

การเข้ารับการวินิจฉัยจากแพทย์ตั้งแต่เนิ่นๆ เมื่อสังเกตเห็นสัญญาณเตือนเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง แม้จะไม่มีวิธีรักษาให้หายขาด แต่การวินิจฉัยที่รวดเร็วมีประโยชน์หลายประการ:

  1. การเข้าถึงทางเลือกการรักษา: มียาบางชนิดที่สามารถช่วยบรรเทาอาการบางอย่างหรือชะลอการดำเนินโรคในผู้ป่วยบางรายได้
  2. การจัดการอาการ: แพทย์สามารถให้คำแนะนำในการจัดการกับการเปลี่ยนแปลงทางพฤติกรรมและความจำได้
  3. การวางแผนสำหรับอนาคต: ผู้ป่วยและครอบครัวจะมีเวลาในการวางแผนเรื่องการเงิน กฎหมาย และการดูแลในระยะยาว
  4. โอกาสในการเข้าร่วมการวิจัย: ผู้ป่วยอาจมีโอกาสเข้าร่วมการทดลองทางคลินิกเพื่อค้นหาวิธีการรักษาใหม่ๆ

บทสรุป: ตระหนักรู้และก้าวไปข้างหน้ากับอัลไซเมอร์

21 ก.ย. วันอัลไซเมอร์โลก เป็นเครื่องย้ำเตือนถึงความสำคัญของการตระหนักรู้และทำความเข้าใจเกี่ยวกับโรคที่ส่งผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อผู้ป่วยและครอบครัว การเรียนรู้ที่จะสังเกต 10 สัญญาณเตือน ไม่ใช่การสร้างความตื่นตระหนก แต่เป็นการส่งเสริมให้เกิดการดูแลเอาใจใส่คนรอบข้าง โดยเฉพาะผู้สูงอายุ เพื่อให้สามารถเข้าสู่กระบวนการวินิจฉัยและดูแลรักษาได้อย่างทันท่วงที

แม้โรคอัลไซเมอร์จะเป็นความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ แต่การส่งเสริมวิถีชีวิตที่ส่งเสริมสุขภาพสมอง การให้ความรู้แก่สังคม และการสนับสนุนงานวิจัยอย่างต่อเนื่อง คือหนทางที่จะช่วยให้เราสามารถรับมือกับโรคนี้ได้ดียิ่งขึ้นในอนาคต หากสังเกตพบสัญญาณที่น่ากังวลในตัวเองหรือคนใกล้ชิด การปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญคือขั้นตอนที่สำคัญที่สุดที่ไม่ควรรอช้า

สั่งเสื้อ

ตุลาคม 2025
จ. อ. พ. พฤ. ศ. ส. อา.
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031