Shopping cart

กรมควบคุมโรคเตือน! 4 โรคฮิตรับลมหนาวที่ต้องระวัง

สารบัญ

เมื่อเข้าสู่ช่วงปลายฝนต้นหนาว สภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงไม่เพียงแต่นำความเย็นสบายมาให้ แต่ยังเป็นสัญญาณเตือนถึงการมาเยือนของปัญหาสุขภาพหลายประการ ล่าสุด กรมควบคุมโรคเตือน! 4 โรคฮิตรับลมหนาวที่ต้องระวัง เพื่อให้ประชาชนเตรียมความพร้อมและป้องกันตนเองจากโรคภัยไข้เจ็บที่มักจะระบาดในช่วงเวลานี้ การทำความเข้าใจถึงลักษณะของโรคแต่ละกลุ่มและวิธีป้องกันจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการรักษาสุขภาพให้แข็งแรงตลอดฤดูกาล

  • โรคระบบทางเดินหายใจ: ไข้หวัดใหญ่และปอดอักเสบเป็นโรคสำคัญที่แพร่กระจายได้ง่ายผ่านการไอ จาม หรือสัมผัสใกล้ชิดในสภาพอากาศเย็นและแห้ง
  • โรคระบบทางเดินอาหาร: โรคอุจจาระร่วงเฉียบพลันที่เกิดจากเชื้อไวรัสบางชนิดสามารถระบาดได้ดีในอุณหภูมิต่ำ
  • โรคติดต่ออื่นๆ ในฤดูหนาว: โรคหัด โรคมือ เท้า ปาก และโรคอีสุกอีใส มักพบการระบาดเพิ่มขึ้นในกลุ่มเด็กเล็กช่วงอากาศเปลี่ยนแปลง
  • ภัยสุขภาพจากความเย็นจัด: ภาวะตัวเย็นเกิน (Hypothermia) และภาวะหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน เป็นภัยเงียบที่อาจเป็นอันตรายถึงชีวิต โดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุและผู้มีโรคประจำตัว

ภาพรวมของโรคที่มากับฤดูหนาว

การเปลี่ยนผ่านจากฤดูฝนเข้าสู่ฤดูหนาวในประเทศไทยนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิและความชื้นในอากาศอย่างมีนัยสำคัญ ปัจจัยทางสภาพอากาศเหล่านี้ส่งผลโดยตรงต่อร่างกายมนุษย์และเชื้อโรคต่างๆ ทำให้ช่วงเวลานี้เป็นช่วงที่ต้องเฝ้าระวังด้านสุขภาพเป็นพิเศษ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ได้ออกมาให้ข้อมูลและเตือนประชาชนถึงกลุ่มโรคที่มักมีการระบาดเพิ่มขึ้น เพื่อสร้างความตระหนักและส่งเสริมพฤติกรรมการป้องกันโรคที่ถูกต้อง

ความสำคัญของการเฝ้าระวังโรคในช่วงปลายฝนต้นหนาวนั้น เกิดจากหลายปัจจัยประกอบกัน ประการแรก อากาศที่เย็นและแห้งทำให้เยื่อบุโพรงจมูกและทางเดินหายใจแห้งลง ซึ่งเป็นสภาวะที่เอื้อต่อการติดเชื้อไวรัสได้ง่ายขึ้น ประการที่สอง ผู้คนมักใช้เวลาอยู่ในอาคารที่ปิดมิดชิดมากขึ้นเพื่อหลีกเลี่ยงความหนาวเย็น ทำให้การแพร่กระจายของเชื้อโรคผ่านทางอากาศเป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ประการสุดท้าย เชื้อไวรัสบางชนิด เช่น ไวรัสไข้หวัดใหญ่ (Influenza virus) หรือโรตาไวรัส (Rotavirus) ที่เป็นสาเหตุของโรคอุจจาระร่วง สามารถมีชีวิตอยู่บนพื้นผิวและในสิ่งแวดล้อมได้นานขึ้นในอุณหภูมิต่ำ ด้วยเหตุนี้ การเตรียมความพร้อมและมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับโรคที่อาจเกิดขึ้นจึงเป็นเกราะป้องกันที่ดีที่สุดสำหรับทุกคนในครอบครัว

ทำความเข้าใจ 4 กลุ่มโรคสำคัญที่ต้องเฝ้าระวัง

ทำความเข้าใจ 4 กลุ่มโรคสำคัญที่ต้องเฝ้าระวัง

กรมควบคุมโรคได้แบ่งกลุ่มโรคที่ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษในช่วงฤดูหนาวออกเป็น 4 กลุ่มหลัก เพื่อให้ง่ายต่อการทำความเข้าใจและจดจำแนวทางการป้องกัน ซึ่งแต่ละกลุ่มมีลักษณะการเกิดโรค อาการ และกลุ่มเสี่ยงที่แตกต่างกันไป ดังนี้

กลุ่มที่ 1: โรคติดต่อระบบทางเดินหายใจ

กลุ่มโรคนี้ถือเป็นกลุ่มที่พบได้บ่อยที่สุดและเป็นที่รู้จักกันดีในช่วงอากาศหนาว เนื่องจากเชื้อไวรัสและแบคทีเรียที่ก่อโรคในระบบทางเดินหายใจสามารถเจริญเติบโตและแพร่กระจายได้ดีในสภาวะอากาศเย็น การติดต่อเกิดขึ้นได้ง่ายผ่านละอองฝอยจากการไอ จาม การพูดคุยในระยะใกล้ หรือการสัมผัสพื้นผิวที่มีเชื้อโรคแล้วนำมาสัมผัสบริเวณใบหน้า ตา จมูก ปาก

ไข้หวัดใหญ่ (Influenza): เป็นโรคติดเชื้อไวรัสในระบบทางเดินหายใจที่รุนแรงกว่าไข้หวัดธรรมดา มีลักษณะเด่นคืออาการไข้สูงฉับพลัน ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้ออย่างรุนแรง อ่อนเพลีย และอาจมีอาการเจ็บคอ ไอแห้งร่วมด้วย ในกลุ่มเสี่ยง เช่น เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ ผู้ที่มีโรคประจำตัวเรื้อรัง (เช่น โรคปอด โรคหัวใจ โรคเบาหวาน) อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงได้ เช่น ปอดอักเสบหรือปอดบวม ซึ่งเป็นอันตรายถึงชีวิต

ปอดอักเสบหรือปอดบวม (Pneumonia): เป็นภาวะที่ถุงลมในปอดเกิดการอักเสบและมีของเหลวหรือหนองสะสมอยู่ ทำให้การแลกเปลี่ยนออกซิเจนทำได้ลำบาก ผู้ป่วยจะมีอาการไข้สูง ไอมีเสมหะ หายใจหอบเหนื่อย และเจ็บหน้าอก ปอดอักเสบสามารถเกิดจากการติดเชื้อไวรัส แบคทีเรีย หรือเชื้อรา และมักเป็นภาวะแทรกซ้อนที่ตามมาจากไข้หวัดใหญ่ โดยเฉพาะในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง

ไข้หวัดธรรมดา (Common Cold): แม้จะมีความรุนแรงน้อยกว่าไข้หวัดใหญ่ แต่อาการของไข้หวัดธรรมดาก็สร้างความรำคาญและกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันได้ เช่น มีน้ำมูก คัดจมูก จาม เจ็บคอ และอาจมีไข้ต่ำๆ โดยทั่วไปอาการจะค่อยๆ ดีขึ้นและหายได้เองภายใน 1-2 สัปดาห์

กลุ่มที่ 2: โรคติดต่อทางเดินอาหารและน้ำ

หลายคนอาจไม่คาดคิดว่าโรคเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหารจะมีความเกี่ยวข้องกับฤดูหนาว แต่ในความเป็นจริงแล้ว เชื้อไวรัสบางชนิดที่เป็นสาเหตุของโรคอุจจาระร่วงสามารถทนทานต่อสภาพอากาศเย็นได้ดี ทำให้ยังคงมีการระบาดของโรคในกลุ่มนี้อยู่เสมอ การติดต่อมักเกิดจากการรับประทานอาหารหรือดื่มน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อโรค หรือผ่านการสัมผัสกับสิ่งของเครื่องใช้ของผู้ป่วยแล้วนำเชื้อเข้าสู่ปาก

โรคอุจจาระร่วงเฉียบพลัน (Acute Diarrhea): มีสาเหตุหลักมาจากเชื้อไวรัส โดยเฉพาะโรตาไวรัส (Rotavirus) และโนโรไวรัส (Norovirus) ผู้ป่วยจะมีอาการถ่ายเหลวเป็นน้ำ คลื่นไส้ อาเจียน และอาจมีไข้ร่วมด้วย อาการสำคัญที่ต้องระวังคือภาวะขาดน้ำและเกลือแร่ ซึ่งสังเกตได้จากอาการปากแห้ง กระหายน้ำ ปัสสาวะน้อย อ่อนเพลียมาก และในเด็กเล็กอาจมีอาการซึมลง กระหม่อมบุ๋ม หากมีภาวะขาดน้ำรุนแรงอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ การป้องกันที่ดีที่สุดคือการรักษาสุขอนามัย “กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ”

กลุ่มที่ 3: โรคติดต่อที่พบบ่อยในช่วงฤดูหนาว

นอกจากโรคในระบบทางเดินหายใจและทางเดินอาหารแล้ว ยังมีโรคติดต่ออื่นๆ ที่มักพบการระบาดเพิ่มขึ้นในช่วงอากาศเย็น โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กวัยเรียนที่อยู่รวมกันในโรงเรียนหรือสถานรับเลี้ยงเด็ก

โรคหัด (Measles): เป็นโรคติดเชื้อไวรัสที่แพร่กระจายได้ง่ายมากทางอากาศ อาการเริ่มแรกคล้ายไข้หวัด คือมีไข้สูง ไอ มีน้ำมูก ตาแดง หลังจากนั้นประมาณ 3-4 วัน จะเริ่มมีผื่นแดงขึ้นจากบริเวณศีรษะและลามลงมาตามลำตัวและแขนขา ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงของโรคหัด ได้แก่ ปอดอักเสบ สมองอักเสบ ซึ่งอาจทำให้พิการหรือเสียชีวิตได้

โรคมือ เท้า ปาก (Hand, Foot, and Mouth Disease): เกิดจากการติดเชื้อไวรัสในกลุ่มเอนเทอโรไวรัส (Enterovirus) พบบ่อยในเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี อาการเด่นคือมีไข้ มีตุ่มน้ำใสหรือแผลในปาก และมีผื่นหรือตุ่มน้ำใสขึ้นบริเวณฝ่ามือ ฝ่าเท้า และอาจพบที่ก้นได้ด้วย โดยทั่วไปโรคนี้ไม่รุนแรงและหายได้เอง แต่ในบางสายพันธุ์อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรง เช่น สมองอักเสบหรือกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ

โรคอีสุกอีใส (Chickenpox): เป็นอีกหนึ่งโรคติดเชื้อไวรัสที่ติดต่อได้ง่ายผ่านการหายใจและการสัมผัสตุ่มน้ำใสของผู้ป่วยโดยตรง ผู้ป่วยจะมีไข้ต่ำๆ และมีผื่นแดงขึ้นตามร่างกาย ซึ่งจะกลายเป็นตุ่มน้ำใสในเวลาต่อมา และมักมีอาการคันมาก เมื่อตุ่มน้ำแตกจะตกสะเก็ดและค่อยๆ หายไปเองภายใน 1-3 สัปดาห์

กลุ่มที่ 4: ภัยสุขภาพที่เกิดจากอากาศหนาวโดยตรง

กลุ่มนี้แตกต่างจากสามกลุ่มแรกตรงที่ไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อโรค แต่เป็นผลกระทบโดยตรงของอุณหภูมิต่ำต่อระบบการทำงานของร่างกาย ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์ที่รุนแรงได้

ภาวะหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน ถือเป็นภัยเงียบที่อาจนำไปสู่การเสียชีวิตอย่างกะทันหันในฤดูหนาว โดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุและผู้ที่มีโรคหัวใจและหลอดเลือดเป็นทุนเดิม การดูแลให้ร่างกายอบอุ่นอยู่เสมอจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง

ภาวะหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน (Acute Heart Failure): อากาศที่หนาวเย็นจัดจะทำให้หลอดเลือดส่วนปลายหดตัวลง ส่งผลให้ความดันโลหิตสูงขึ้น และหัวใจต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกาย สำหรับผู้ที่มีโรคหัวใจและหลอดเลือดอยู่แล้ว การทำงานที่หนักขึ้นของหัวใจอาจกระตุ้นให้เกิดภาวะหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน หรือกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันได้ ซึ่งเป็นภาวะที่อันตรายและต้องการการรักษาอย่างเร่งด่วน

ภาวะตัวเย็นเกิน (Hypothermia): คือภาวะที่อุณหภูมิแกนกลางของร่างกายลดต่ำกว่า 35 องศาเซลเซียส ซึ่งเกิดจากการที่ร่างกายสูญเสียความร้อนเร็วกว่าที่สามารถผลิตได้ มักเกิดขึ้นเมื่ออยู่ในสภาพอากาศหนาวจัดเป็นเวลานานโดยไม่มีเครื่องนุ่งห่มที่ให้ความอบอุ่นเพียงพอ อาการในระยะแรกจะมีการสั่น พูดไม่ชัด งุ่มง่าม และสับสน หากไม่ได้รับการช่วยเหลือ อุณหภูมิร่างกายจะลดลงเรื่อยๆ จนอาจทำให้หมดสติและหัวใจหยุดเต้นได้

ตารางสรุป 4 กลุ่มโรคและภัยสุขภาพที่ต้องเฝ้าระวังในฤดูหนาว
กลุ่มโรค/ภัยสุขภาพ ตัวอย่างโรค อาการสำคัญ การป้องกันเบื้องต้น
1. ระบบทางเดินหายใจ ไข้หวัดใหญ่, ปอดอักเสบ ไข้สูง, ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ, ไอ, หายใจหอบ สวมหน้ากากอนามัย, ล้างมือ, ฉีดวัคซีน
2. ระบบทางเดินอาหาร อุจจาระร่วงเฉียบพลัน ถ่ายเหลว, คลื่นไส้, อาเจียน, ปวดท้อง กินร้อน, ช้อนกลาง, ล้างมือ, ดื่มน้ำสะอาด
3. โรคติดต่ออื่นๆ โรคหัด, มือ เท้า ปาก, อีสุกอีใส มีไข้, มีผื่นหรือตุ่มน้ำใสขึ้นตามร่างกาย หลีกเลี่ยงการสัมผัสผู้ป่วย, รักษาความสะอาด
4. ภัยสุขภาพจากความเย็น หัวใจล้มเหลว, ภาวะตัวเย็นเกิน เจ็บแน่นหน้าอก, หายใจลำบาก, สั่น, ซึมลง สวมเสื้อผ้าให้อบอุ่น, หลีกเลี่ยงอากาศหนาวจัด

พื้นที่เสี่ยงและกลุ่มประชากรที่ต้องดูแลเป็นพิเศษ

ข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุขระบุว่า พื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูงต่อโรคและภัยสุขภาพในช่วงฤดูหนาวคือบริเวณที่มีอุณหภูมิลดต่ำลงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะเมื่ออุณหภูมิต่ำกว่า 15 องศาเซลเซียส ซึ่งมักจะเกิดขึ้นในพื้นที่ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย นอกจากนี้ บางพื้นที่ในภาคกลาง เช่น จังหวัดปราจีนบุรีและสระแก้ว ก็จัดเป็นพื้นที่ที่ต้องมีการเฝ้าระวังเช่นกัน

นอกเหนือจากพื้นที่ทางภูมิศาสตร์แล้ว ยังมีกลุ่มประชากรที่มีความเปราะบางและเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยได้ง่ายกว่าคนทั่วไป ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการดูแลเอาใจใส่เป็นพิเศษ ได้แก่:

  • เด็กเล็ก: มีระบบภูมิคุ้มกันที่ยังพัฒนาไม่เต็มที่ ทำให้ติดเชื้อได้ง่าย และมักอยู่รวมกันเป็นกลุ่มในโรงเรียน ซึ่งเป็นแหล่งแพร่กระจายของโรคได้ดี
  • ผู้สูงอายุ (อายุ 65 ปีขึ้นไป): ร่างกายมีการเปลี่ยนแปลงตามวัย ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันลดลง และมักมีโรคประจำตัวร่วมด้วย ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง
  • ผู้ที่มีโรคประจำตัวเรื้อรัง: เช่น โรคหัวใจและหลอดเลือด, โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง, โรคหอบหืด, โรคเบาหวาน, โรคไตวายเรื้อรัง และผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง โรคเหล่านี้ทำให้ร่างกายอ่อนแอและไม่สามารถต่อสู้กับเชื้อโรคได้อย่างเต็มที่
  • หญิงตั้งครรภ์: การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนและระบบภูมิคุ้มกันในระหว่างตั้งครรภ์ ทำให้มีความเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยที่รุนแรงจากโรคติดเชื้อบางชนิด เช่น ไข้หวัดใหญ่

แนวทางการป้องกันและดูแลสุขภาพเชิงรุก

การป้องกันโรคในช่วงฤดูหนาวสามารถทำได้โดยการปฏิบัติตามหลักการดูแลสุขภาพขั้นพื้นฐานอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งกรมควบคุมโรคได้เน้นย้ำถึงมาตรการสำคัญต่างๆ ที่ทุกคนสามารถนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้

การสร้างความอบอุ่นให้ร่างกาย

การรักษาอุณหภูมิของร่างกายให้อบอุ่นอยู่เสมอเป็นหัวใจสำคัญของการป้องกันภัยสุขภาพจากความเย็น ควรเลือกสวมใส่เสื้อผ้าที่หนาและให้ความอบอุ่นเพียงพอ อาจสวมใส่หลายชั้นเพื่อช่วยกักเก็บความร้อนไว้ใกล้ตัว สวมถุงเท้าและหมวกเมื่อต้องอยู่ในที่อากาศเย็นจัด โดยเฉพาะในเวลากลางคืน การดื่มเครื่องดื่มอุ่นๆ ก็สามารถช่วยเพิ่มความอบอุ่นจากภายในได้เช่นกัน การดูแลร่างกายให้อบอุ่นไม่เพียงแต่ป้องกันภาวะตัวเย็นเกิน แต่ยังช่วยลดภาระการทำงานของหัวใจและระบบไหลเวียนโลหิต

สุขอนามัยส่วนบุคคล

มาตรการด้านสุขอนามัยเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้ามในการป้องกันโรคติดต่อทุกชนิด

  • การล้างมือ: ควรล้างมือบ่อยๆ ด้วยสบู่และน้ำ หรือใช้เจลแอลกอฮอล์ โดยเฉพาะหลังการไอ จาม ก่อนรับประทานอาหาร และหลังเข้าห้องน้ำ เพื่อกำจัดเชื้อโรคที่อาจติดมากับมือ
  • การสวมหน้ากากอนามัย: เมื่อต้องเข้าไปในพื้นที่แออัด ชุมชน หรือสถานพยาบาล ควรสวมหน้ากากอนามัยเพื่อป้องกันการรับและแพร่กระจายเชื้อโรคผ่านระบบทางเดินหายใจ
  • หลีกเลี่ยงการใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น: ไม่ควรใช้แก้วน้ำ ช้อนส้อม ผ้าเช็ดหน้า หรือผ้าเช็ดตัวร่วมกัน เพื่อลดโอกาสในการแลกเปลี่ยนเชื้อโรค
  • การฉีดวัคซีนป้องกันโรค: การฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่เป็นประจำทุกปีเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการลดความเสี่ยงของการป่วยหนักและภาวะแทรกซ้อน

การดูแลสภาพแวดล้อม

การจัดการสภาพแวดล้อมที่อยู่อาศัยและที่ทำงานให้ถูกสุขลักษณะก็มีความสำคัญเช่นกัน ควรเปิดหน้าต่างให้อากาศถ่ายเทได้สะดวกอย่างน้อยวันละครั้ง เพื่อลดความหนาแน่นของเชื้อโรคที่อาจสะสมอยู่ในอากาศ และหมั่นทำความสะอาดพื้นผิวที่มีการสัมผัสบ่อยๆ เช่น ลูกบิดประตู ราวบันได โต๊ะทำงาน ด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ

สรุปและคำแนะนำในการเตรียมพร้อมรับมือ

ช่วงปลายฝนต้นหนาวเป็นช่วงเวลาที่ต้องให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพเป็นอย่างยิ่ง การรับทราบข้อมูลคำเตือนจากกรมควบคุมโรคเกี่ยวกับ 4 กลุ่มโรคฮิตและภัยสุขภาพที่มากับลมหนาว นับเป็นขั้นตอนแรกที่สำคัญในการเตรียมความพร้อม ทั้งโรคในระบบทางเดินหายใจ ระบบทางเดินอาหาร โรคติดต่ออื่นๆ และภัยจากความเย็นโดยตรง ล้วนเป็นสิ่งที่สามารถป้องกันได้หากมีความรู้ความเข้าใจและปฏิบัติตนอย่างถูกต้อง

การดูแลสุขภาพเชิงรุก ตั้งแต่การรักษาร่างกายให้อบอุ่น การรักษาสุขอนามัยส่วนบุคคลอย่างเคร่งครัด ไปจนถึงการใส่ใจดูแลสภาพแวดล้อม เป็นมาตรการพื้นฐานแต่ทรงประสิทธิภาพในการลดความเสี่ยงของการเจ็บป่วย ดังนั้น จึงควรหมั่นสังเกตอาการผิดปกติของตนเองและคนในครอบครัว หากมีอาการน่าสงสัย เช่น ไข้สูง ไอต่อเนื่อง หายใจลำบาก หรืออ่อนเพลียผิดปกติ ควรปรึกษาแพทย์ทันทีเพื่อรับการวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสม การเตรียมพร้อมและไม่ประมาทจะช่วยให้ทุกคนสามารถผ่านพ้นช่วงฤดูหนาวไปได้อย่างมีสุขภาพดีและปลอดภัย

สั่งเสื้อ

ตุลาคม 2025
จ. อ. พ. พฤ. ศ. ส. อา.
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031