กรมควบคุมโรคเตือน! 4 โรคฮิตรับลมหนาวที่ต้องระวัง
เมื่อเข้าสู่ช่วงปลายฝนต้นหนาว สภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงและเย็นลงเป็นปัจจัยสำคัญที่เอื้อต่อการแพร่ระบาดของเชื้อโรคหลายชนิด ด้วยความห่วงใยในสุขภาพของประชาชน กรมควบคุมโรคเตือน! 4 โรคฮิตรับลมหนาวที่ต้องระวัง ซึ่งเป็นกลุ่มโรคและภัยสุขภาพที่มักพบได้บ่อยและอาจมีความรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้หากไม่ได้รับการดูแลรักษาอย่างทันท่วงที การทำความเข้าใจเกี่ยวกับโรคเหล่านี้และวิธีป้องกันจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับทุกคน
ประเด็นสำคัญที่ควรทราบ
- โรคทางเดินหายใจ: ไข้หวัดใหญ่และปอดบวมเป็นโรคที่ต้องเฝ้าระวังสูงสุดในช่วงฤดูหนาว สามารถแพร่กระจายผ่านการไอ จาม หรือสัมผัสใกล้ชิดผู้ป่วย
- โรคทางเดินอาหาร: โรคอุจจาระร่วงที่เกิดจากเชื้อไวรัสและแบคทีเรียมักระบาดได้ง่ายขึ้น เนื่องจากเชื้อโรคบางชนิดเจริญเติบโตได้ดีในอุณหภูมิต่ำ
- โรคติดต่ออื่นๆ: โรคหัด และโรคมือ เท้า ปาก เป็นโรคที่มักระบาดในกลุ่มเด็กเล็กและเด็กวัยเรียน โดยเฉพาะในสถานที่ที่มีคนอยู่รวมกันจำนวนมาก เช่น โรงเรียน หรือศูนย์เด็กเล็ก
- ภัยสุขภาพจากความเย็น: อากาศที่หนาวจัดอาจทำให้ร่างกายปรับตัวไม่ทัน และนำไปสู่ภาวะที่เป็นอันตราย เช่น ภาวะหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน โดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุและผู้มีโรคประจำตัว
- การป้องกันคือหัวใจสำคัญ: การรักษาความอบอุ่นของร่างกาย การรักษาสุขอนามัยส่วนบุคคล เช่น การล้างมือบ่อยๆ และการสวมหน้ากากอนามัย เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันโรค
ภาพรวมสถานการณ์และข้อควรระวัง
ช่วงรอยต่อระหว่างฤดูฝนและฤดูหนาวเป็นช่วงเวลาที่สภาพอากาศมีความแปรปรวนสูง อุณหภูมิที่ลดลงและความชื้นในอากาศที่เปลี่ยนแปลงไป ส่งผลกระทบโดยตรงต่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ทำให้มีความอ่อนแอและเสี่ยงต่อการติดเชื้อโรคได้ง่ายขึ้น กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข จึงได้ออกประกาศเตือนให้ประชาชนทั่วประเทศ โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือซึ่งมีอากาศหนาวเย็นจัด ให้เพิ่มความระมัดระวังและดูแลสุขภาพของตนเองและคนในครอบครัวเป็นพิเศษ
กลุ่มบุคคลที่ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ ได้แก่ เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ ผู้ที่มีโรคประจำตัว (เช่น โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคเบาหวาน โรคหอบหืด) และผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง เนื่องจากเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดอาการรุนแรงและภาวะแทรกซ้อนจากโรคต่างๆ ได้มากกว่าคนทั่วไป การตระหนักถึงความเสี่ยงและปฏิบัติตามคำแนะนำด้านสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด จะช่วยลดโอกาสในการเจ็บป่วยและป้องกันการแพร่ระบาดในวงกว้างได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เจาะลึก 4 กลุ่มโรคและภัยสุขภาพที่มาพร้อมลมหนาว
เพื่อสร้างความเข้าใจที่ชัดเจน กรมควบคุมโรคได้แบ่งกลุ่มโรคและภัยสุขภาพที่ต้องเฝ้าระวังในช่วงฤดูหนาวออกเป็น 4 กลุ่มหลัก ดังนี้
กลุ่มที่ 1: โรคติดต่อทางเดินหายใจ
เป็นกลุ่มโรคที่พบได้บ่อยที่สุดและแพร่กระจายได้ง่ายในสภาพอากาศเย็นและแห้ง เนื่องจากละอองฝอยจากการไอหรือจามสามารถลอยอยู่ในอากาศได้นานขึ้น โรคสำคัญในกลุ่มนี้ ได้แก่
ไข้หวัดใหญ่ (Influenza)
คำจำกัดความ: เกิดจากการติดเชื้อไวรัสอินฟลูเอนซา (Influenza virus) ซึ่งมีหลายสายพันธุ์ และมักมีการระบาดเป็นช่วงๆ ในฤดูหนาว มีความรุนแรงมากกว่าไข้หวัดธรรมดา
อาการ: ผู้ป่วยมักมีไข้สูงเฉียบพลัน ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้ออย่างรุนแรง อ่อนเพลีย เจ็บคอ ไอแห้ง และอาจมีน้ำมูกไหลร่วมด้วย ในเด็กเล็กอาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน หรือท้องเสียได้
การติดต่อ: ติดต่อผ่านทางละอองฝอยในอากาศที่ผู้ป่วยไอหรือจามออกมา หรือผ่านการสัมผัสพื้นผิวที่มีเชื้อโรคแล้วนำมือมาสัมผัสบริเวณใบหน้า ตา จมูก หรือปาก
ความเสี่ยงและภาวะแทรกซ้อน: ภาวะแทรกซ้อนที่อันตรายที่สุดคือโรคปอดอักเสบหรือปอดบวม ซึ่งอาจทำให้ระบบหายใจล้มเหลวและเสียชีวิตได้ โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยง
โรคปอดอักเสบ (ปอดบวม) (Pneumonia)
คำจำกัดความ: เป็นการอักเสบของเนื้อปอด ซึ่งอาจเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส หรือเชื้อรา มักเป็นภาวะแทรกซ้อนที่ตามมาจากไข้หวัดใหญ่ หรือเกิดขึ้นได้เองในผู้ที่ร่างกายอ่อนแอ
อาการ: อาการสำคัญคือ ไอมีเสมหะ เจ็บหน้าอกขณะหายใจเข้าหรือไอ หายใจหอบเหนื่อย มีไข้สูง หนาวสั่น และอาจมีอาการสับสนในผู้สูงอายุ
การติดต่อ: เชื้อโรคสามารถแพร่กระจายได้เช่นเดียวกับไข้หวัดใหญ่ คือผ่านทางละอองฝอยจากการไอหรือจาม
ความเสี่ยง: เป็นสาเหตุการเสียชีวิตที่สำคัญในเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี และผู้สูงอายุ การวินิจฉัยและรักษาที่ล่าช้าอาจนำไปสู่ภาวะติดเชื้อในกระแสเลือดและเสียชีวิตได้
กลุ่มที่ 2: โรคติดต่อทางเดินอาหารและน้ำ
แม้จะดูเหมือนเป็นโรคของฤดูร้อน แต่เชื้อโรคบางชนิด เช่น โนโรไวรัส (Norovirus) และโรตาไวรัส (Rotavirus) สามารถมีชีวิตอยู่ได้นานขึ้นในสภาพแวดล้อมที่เย็น ทำให้เกิดการระบาดของโรคอุจจาระร่วงได้ง่ายในช่วงฤดูหนาว
โรคอุจจาระร่วง (Diarrhea)
คำจำกัดความ: ภาวะที่มีการถ่ายอุจจาระเหลวหรือเป็นน้ำ 3 ครั้งขึ้นไปภายใน 24 ชั่วโมง หรือถ่ายเป็นมูกเลือด 1 ครั้งขึ้นไป
อาการ: ถ่ายเหลว ปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน และอาจมีไข้ร่วมด้วย อาการที่น่ากังวลที่สุดคือภาวะขาดน้ำและเกลือแร่ ซึ่งสังเกตได้จากอาการปากแห้ง กระหายน้ำ ปัสสาวะน้อย อ่อนเพลีย และอาจหมดสติได้หากรุนแรง
การติดต่อ: เกิดจากการรับประทานอาหารหรือดื่มน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อโรค หรือสัมผัสกับสิ่งของเครื่องใช้ของผู้ป่วยแล้วนำเชื้อเข้าสู่ปากโดยไม่รู้ตัว
ความเสี่ยง: ภาวะขาดน้ำรุนแรงเป็นอันตรายถึงชีวิต โดยเฉพาะในทารก เด็กเล็ก และผู้สูงอายุ การป้องกันจึงเน้นที่สุขอนามัยในการรับประทานอาหารและการล้างมือ
กลุ่มที่ 3: โรคติดต่อที่พบบ่อยอื่นๆ ในช่วงฤดูหนาว
โรคในกลุ่มนี้มักระบาดในสถานที่ที่มีคนอยู่รวมกันหนาแน่น เช่น โรงเรียน สถานรับเลี้ยงเด็ก ซึ่งเป็นแหล่งแพร่เชื้อชั้นดีในช่วงที่อากาศปิด
โรคหัด (Measles)
คำจำกัดความ: เป็นโรคติดเชื้อไวรัสที่ติดต่อได้ง่ายมาก ทำให้เกิดไข้และผื่นขึ้นตามตัว
อาการ: เริ่มจากมีไข้สูง ไอ น้ำมูกไหล ตาแดง และมีจุดขาวๆ ในกระพุ้งแก้ม (Koplik spots) หลังจากนั้น 3-5 วัน จะเริ่มมีผื่นแดงขึ้นจากบริเวณศีรษะและใบหน้า แล้วลามลงมาตามลำตัวและแขนขา
การติดต่อ: ติดต่อผ่านทางอากาศโดยการหายใจเอาละอองฝอยที่ผู้ป่วยไอหรือจามออกมาเข้าไป
ความเสี่ยง: ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง ได้แก่ ปอดอักเสบ หูชั้นกลางอักเสบ และสมองอักเสบ ซึ่งอาจทำให้เกิดความพิการถาวรหรือเสียชีวิตได้ การฉีดวัคซีนป้องกันจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุด
โรคมือ เท้า ปาก (Hand, Foot, and Mouth Disease)
คำจำกัดความ: เกิดจากการติดเชื้อไวรัสในกลุ่มเอนเทอโรไวรัส (Enterovirus) มักพบในเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี
อาการ: มีไข้ต่ำๆ อ่อนเพลีย เจ็บปากและไม่อยากอาหาร จากนั้นจะมีแผลในปาก และมีผื่นหรือตุ่มน้ำใสขึ้นบริเวณฝ่ามือ ฝ่าเท้า และอาจพบที่ก้นหรือลำตัวได้
การติดต่อ: ติดต่อโดยตรงจากการสัมผัสน้ำมูก น้ำลาย หรืออุจจาระของผู้ป่วย หรือสัมผัสของเล่นและพื้นผิวที่ปนเปื้อนเชื้อ
ความเสี่ยง: ส่วนใหญ่อาการไม่รุนแรงและหายได้เอง แต่ในบางรายที่ติดเชื้อสายพันธุ์รุนแรง (เช่น EV71) อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนทางสมองและหัวใจได้
กลุ่มที่ 4: ภัยสุขภาพจากภาวะอากาศหนาวเย็นโดยตรง
นอกเหนือจากโรคติดเชื้อแล้ว อากาศที่หนาวเย็นจัดยังส่งผลกระทบโดยตรงต่อการทำงานของร่างกาย ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์ได้
ภัยจากอากาศหนาวมีผลกระทบรุนแรง โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง และบางจังหวัดที่อุณหภูมิต่ำกว่า 15 องศาเซลเซียส ซึ่งอาจกระตุ้นให้เกิดภาวะหัวใจล้มเหลวเฉียบพลันได้
ภาวะหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน (Acute Heart Failure)
กลไกการเกิด: เมื่อร่างกายสัมผัสกับความเย็นจัด หลอดเลือดส่วนปลายจะหดตัวลงเพื่อสงวนความร้อนไว้ในร่างกาย การหดตัวนี้ทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น และหัวใจต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ในผู้ที่มีโรคหัวใจหรือหลอดเลือดอยู่เดิม หรือในผู้สูงอายุที่ร่างกายปรับตัวได้ไม่ดี การทำงานที่หนักขึ้นของหัวใจอาจนำไปสู่ภาวะหัวใจล้มเหลวเฉียบพลันได้
อาการเตือน: เจ็บแน่นหน้าอก หายใจลำบาก หอบเหนื่อยแม้ขณะพัก วิงเวียนศีรษะ หน้ามืด หรือหมดสติ
ความเสี่ยง: ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดหัวใจ และผู้ที่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เพื่อคลายหนาว (ซึ่งเป็นความเชื่อที่ผิด เพราะแอลกอฮอล์จะทำให้หลอดเลือดขยายตัวและสูญเสียความร้อนเร็วขึ้น) จัดเป็นกลุ่มเสี่ยงสูงสุด
ตารางเปรียบเทียบโรคและภัยสุขภาพที่ต้องเฝ้าระวัง
กลุ่มโรค/ภัยสุขภาพ | โรคตัวอย่าง | ช่องทางการติดต่อ/สาเหตุ | อาการเบื้องต้นที่ควรสังเกต |
---|---|---|---|
1. โรคทางเดินหายใจ | ไข้หวัดใหญ่, ปอดบวม | การไอ จาม สัมผัสละอองฝอยจากผู้ป่วย | ไข้สูงเฉียบพลัน ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ไอ เจ็บคอ |
2. โรคทางเดินอาหาร | อุจจาระร่วง | รับประทานอาหาร/น้ำที่ปนเปื้อนเชื้อโรค | ถ่ายเหลว ปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน |
3. โรคติดต่ออื่นๆ | โรคหัด, มือ เท้า ปาก | การสัมผัสโดยตรง, ละอองฝอยในอากาศ | มีไข้ร่วมกับผื่นหรือตุ่มน้ำใสตามร่างกาย |
4. ภัยจากอากาศหนาว | ภาวะหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน | ร่างกายสัมผัสความเย็นจัด ทำให้หัวใจทำงานหนัก | เจ็บแน่นหน้าอก หายใจหอบเหนื่อย วิงเวียนศีรษะ |
มาตรการป้องกันตนเองและครอบครัวให้ห่างไกลโรค
การป้องกันโรคในช่วงฤดูหนาวสามารถทำได้โดยการปฏิบัติตามหลักการดูแลสุขภาพขั้นพื้นฐานอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งกรมควบคุมโรคได้ให้คำแนะนำที่ครอบคลุมทั้งในระดับบุคคลและสิ่งแวดล้อม
การดูแลสุขอนามัยส่วนบุคคล
- รักษาความอบอุ่นของร่างกาย: สวมใส่เสื้อผ้าที่หนาและให้ความอบอุ่นเพียงพอ โดยเฉพาะในช่วงกลางคืนและช่วงเช้าตรู่ ควรมีผ้าพันคอ หมวก และถุงเท้าเพื่อป้องกันการสูญเสียความร้อน
- ล้างมือบ่อยๆ: ควรล้างมือด้วยสบู่และน้ำสะอาด หรือใช้เจลแอลกอฮอล์ที่มีความเข้มข้น 70% ขึ้นไป โดยเฉพาะหลังการไอ จาม ก่อนรับประทานอาหาร และหลังเข้าห้องน้ำ
- สวมหน้ากากอนามัย: เมื่อต้องเข้าไปในสถานที่ที่มีผู้คนแออัด หรือเมื่อมีอาการป่วยเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ เพื่อป้องกันการรับและแพร่กระจายเชื้อ
- ไม่ใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น: หลีกเลี่ยงการใช้แก้วน้ำ ช้อนส้อม หรือผ้าเช็ดหน้าร่วมกัน เพื่อลดความเสี่ยงในการแลกเปลี่ยนเชื้อโรค
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์: เน้นการรับประทานอาหารที่ปรุงสุกใหม่ๆ และมีคุณค่าทางโภชนาการครบถ้วน โดยเฉพาะผักและผลไม้ที่มีวิตามินซีสูงเพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ: การออกกำลังกายช่วยให้ร่างกายแข็งแรงและระบบภูมิคุ้มกันทำงานได้ดีขึ้น ควรเลือกกิจกรรมที่เหมาะสมกับสภาพร่างกายและอากาศ
การสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย
การดูแลสภาพแวดล้อมที่อยู่อาศัยก็เป็นส่วนสำคัญในการป้องกันโรคเช่นกัน ควรเปิดหน้าต่างเพื่อให้อากาศถ่ายเทได้สะดวกอย่างน้อยวันละครั้ง เพื่อลดการสะสมของเชื้อโรคภายในบ้าน และทำความสะอาดพื้นผิวที่ถูกสัมผัสบ่อยๆ เช่น ลูกบิดประตู ราวบันได หรือของเล่นเด็ก ด้วยน้ำยาฆ่าเชื้ออย่างสม่ำเสมอ
การเฝ้าระวังในพื้นที่เสี่ยง
นพ.วีรวุฒิ อิ่มสำราญ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข ได้เน้นย้ำถึงพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูงจากภัยหนาว โดยเฉพาะภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง รวมถึงจังหวัดปราจีนบุรีและสระแก้ว ซึ่งมีโอกาสที่อุณหภูมิจะลดต่ำกว่า 15 องศาเซลเซียส ประชาชนในพื้นที่ดังกล่าวควรเตรียมความพร้อมด้านเครื่องนุ่งห่มกันหนาวให้เพียงพอ และติดตามข่าวสารพยากรณ์อากาศอย่างใกล้ชิด
บทสรุปและการเตรียมความพร้อมรับมือ
กรมควบคุมโรคเตือน! 4 โรคฮิตรับลมหนาวที่ต้องระวัง นั้นเป็นสัญญาณเตือนที่สำคัญให้ประชาชนตระหนักถึงความเสี่ยงด้านสุขภาพที่มาพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงของฤดูกาล การเจ็บป่วยจากโรคติดต่อทางเดินหายใจ ทางเดินอาหาร และภัยสุขภาพจากความเย็นโดยตรง สามารถป้องกันได้ด้วยการดูแลสุขภาพขั้นพื้นฐาน การรักษาความอบอุ่นของร่างกาย และการรักษาสุขอนามัยอย่างเคร่งครัด
การมีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับอาการของโรคต่างๆ จะช่วยให้สามารถสังเกตความผิดปกติของตนเองและคนในครอบครัวได้อย่างรวดเร็ว หากมีอาการป่วย เช่น มีไข้สูง ไอ เจ็บคอ หรือมีอาการที่น่าสงสัยอื่นๆ ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและรักษาที่ถูกต้องโดยเร็วที่สุด การปฏิบัติตามคำแนะนำของหน่วยงานสาธารณสุขไม่เพียงแต่จะช่วยป้องกันการเจ็บป่วยของตนเอง แต่ยังเป็นการแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมในการช่วยควบคุมและป้องกันการแพร่ระบาดของโรคในวงกว้างอีกด้วย