กรมควบคุมโรคเตือน! 4 โรคฮิตรับลมหนาวที่ต้องระวัง
เมื่อสายลมเย็นเริ่มพัดมาเยือน เป็นสัญญาณของการเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ช่วงปลายฝนต้นหนาว ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่หลายคนรอคอย อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางบรรยากาศที่น่ารื่นรมย์นี้ มีภัยสุขภาพแอบแฝงที่ต้องให้ความสำคัญเป็นพิเศษ ล่าสุด กรมควบคุมโรคเตือน! 4 โรคฮิตรับลมหนาวที่ต้องระวัง ซึ่งเป็นกลุ่มโรคที่มีแนวโน้มการระบาดสูงขึ้นในช่วงที่อากาศเปลี่ยนแปลงและเย็นลง การทำความเข้าใจเกี่ยวกับโรคเหล่านี้จึงเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อการป้องกันและดูแลสุขภาพของตนเองและคนในครอบครัวอย่างถูกวิธี
บทสรุปประเด็นสำคัญ
- การเฝ้าระวัง 4 กลุ่มโรคหลัก: กรมควบคุมโรคได้เน้นย้ำถึง 4 กลุ่มโรคที่ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษในช่วงอากาศหนาว ได้แก่ โรคติดต่อระบบทางเดินหายใจ (ไข้หวัดใหญ่, หัด), โรคมือ เท้า ปาก, และโรคอุจจาระร่วงเฉียบพลัน
- กลุ่มเสี่ยงที่ต้องดูแลใกล้ชิด: เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ และผู้ที่มีโรคประจำตัว เป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเจ็บป่วยและเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงจากโรคต่างๆ ที่มากับฤดูหนาว
- ภัยเงียบจากความเย็น: นอกเหนือจากโรคติดต่อแล้ว ภาวะหัวใจล้มเหลวเฉียบพลันเป็นอีกหนึ่งความเสี่ยงสำคัญ โดยเฉพาะในผู้สูงอายุและผู้ที่ร่างกายได้รับความอบอุ่นไม่เพียงพอ
- การป้องกันคือหัวใจสำคัญ: การดูแลสุขภาพให้แข็งแรง รักษาสุขอนามัยส่วนบุคคล สวมเสื้อผ้าให้อบอุ่น และการรับวัคซีนป้องกันโรค เป็นมาตรการพื้นฐานที่มีประสิทธิภาพในการลดความเสี่ยงการเจ็บป่วย
กรมควบคุมโรคเตือน! 4 โรคฮิตรับลมหนาวที่ต้องระวัง ถือเป็นคำประกาศสำคัญที่กระตุ้นเตือนให้สังคมตระหนักถึงความเสี่ยงด้านสุขภาพที่เพิ่มขึ้นตามฤดูกาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่อากาศมีความแปรปรวน ความชื้นในอากาศลดลง และอุณหภูมิต่ำ ซึ่งเป็นสภาวะที่เอื้อต่อการเจริญเติบโตและแพร่กระจายของเชื้อไวรัสและแบคทีเรียหลายชนิด การเตรียมความพร้อมและมีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับโรคเหล่านี้ จะช่วยให้สามารถรับมือและป้องกันการแพร่ระบาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดอัตราการเจ็บป่วยและป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเป็นอันตรายถึงชีวิต
ความสำคัญของการเฝ้าระวังโรคในช่วงเปลี่ยนผ่านฤดู
ช่วงปลายฝนต้นหนาวเป็นช่วงเวลาที่สภาพอากาศมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว อุณหภูมิที่ลดลงส่งผลโดยตรงต่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ทำให้ร่างกายอ่อนแอและติดเชื้อได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ พฤติกรรมของผู้คนมักจะเปลี่ยนแปลงไป เช่น การอยู่รวมกันในที่ร่มมากขึ้นเพื่อหลบเลี่ยงอากาศหนาว หรือการปิดหน้าต่างประตูเพื่อรักษาความอบอุ่น ซึ่งทำให้อากาศถ่ายเทไม่สะดวก และเพิ่มโอกาสในการแพร่กระจายของเชื้อโรคผ่านทางเดินหายใจ
กลุ่มบุคคลที่จำเป็นต้องได้รับการดูแลและเฝ้าระวังเป็นพิเศษในช่วงเวลานี้ ได้แก่:
- เด็กเล็กและเด็กวัยเรียน: ระบบภูมิคุ้มกันยังพัฒนาไม่เต็มที่ และมักมีการสัมผัสใกล้ชิดกับเพื่อนในโรงเรียนหรือสถานรับเลี้ยงเด็ก ทำให้เสี่ยงต่อการรับและแพร่กระจายเชื้อโรคได้ง่าย โดยเฉพาะโรคมือ เท้า ปาก และโรคหัด
- ผู้สูงอายุ: ภูมิคุ้มกันของร่างกายที่เสื่อมถอยตามวัย ประกอบกับมักมีโรคประจำตัวร่วมด้วย เช่น โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง หรือเบาหวาน ทำให้เมื่อติดเชื้อแล้ว อาการอาจรุนแรงและเกิดภาวะแทรกซ้อนได้ง่าย
- ผู้ที่มีโรคประจำตัวเรื้อรัง: เช่น โรคหอบหืด โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง โรคหัวใจและหลอดเลือด หรือผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง จะมีความไวต่อการติดเชื้อและมีอาการรุนแรงกว่าคนทั่วไป
ดังนั้น การตระหนักรู้ถึงความเสี่ยงและปฏิบัติตามคำแนะนำจากหน่วยงานสาธารณสุขจึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม เพื่อให้ทุกคนสามารถผ่านช่วงฤดูหนาวไปได้อย่างปลอดภัยและมีสุขภาพดี
เจาะลึก 4 กลุ่มโรคที่ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ
เพื่อสร้างความเข้าใจที่ชัดเจนยิ่งขึ้น การทำความรู้จักกับแต่ละกลุ่มโรคที่กรมควบคุมโรคได้ประกาศเตือนนั้นเป็นสิ่งสำคัญ โดยแต่ละโรคมีลักษณะอาการ ช่องทางการติดต่อ และกลุ่มเสี่ยงที่แตกต่างกันออกไป
1. กลุ่มโรคติดต่อระบบทางเดินหายใจ
เป็นกลุ่มโรคที่พบบ่อยที่สุดในช่วงอากาศเย็น เนื่องจากเชื้อไวรัสสามารถมีชีวิตอยู่ในอากาศได้นานขึ้น และแพร่กระจายได้ง่ายผ่านการไอ จาม หรือการสัมผัสสารคัดหลั่งของผู้ป่วย
โรคไข้หวัดใหญ่ (Influenza)
คำจำกัดความ: โรคไข้หวัดใหญ่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสอินฟลูเอนซา (Influenza virus) ซึ่งมีหลายสายพันธุ์ และมักมีการระบาดตามฤดูกาล โดยเฉพาะในฤดูหนาว แตกต่างจากไข้หวัดธรรมดา (Common Cold) อย่างชัดเจนในด้านความรุนแรงของอาการและโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อน
อาการและลักษณะเฉพาะ: ผู้ป่วยมักมีอาการเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน ประกอบด้วยไข้สูง (38 องศาเซลเซียสขึ้นไป) หนาวสั่น ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้ออย่างรุนแรง อ่อนเพลียมาก ไอแห้ง และเจ็บคอ ในเด็กอาจพบอาการคลื่นไส้ อาเจียน หรือท้องเสียร่วมด้วย
ความเสี่ยงและภาวะแทรกซ้อน: แม้ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะหายได้เองภายใน 1-2 สัปดาห์ แต่ในกลุ่มเสี่ยงอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงได้ เช่น ปอดบวมหรือปอดอักเสบ (Pneumonia) การติดเชื้อในระบบประสาท หลอดลมอักเสบ หรือทำให้อาการของโรคประจำตัวกำเริบ ซึ่งอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต
การป้องกัน: วิธีป้องกันที่ดีที่สุดคือการฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่เป็นประจำทุกปี เนื่องจากเชื้อมีการเปลี่ยนแปลงสายพันธุ์อยู่เสมอ นอกจากนี้ ควรล้างมือบ่อยๆ หลีกเลี่ยงการใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น และสวมหน้ากากอนามัยเมื่ออยู่ในที่ชุมชน
โรคหัด (Measles)
คำจำกัดความ: โรคหัดเป็นโรคติดเชื้อไวรัสที่มีความสามารถในการแพร่กระจายสูงมาก จัดเป็นโรคติดต่อทางระบบทางเดินหายใจที่อันตราย โดยเฉพาะในเด็กเล็กที่ยังไม่ได้รับวัคซีนครบถ้วน
อาการและลักษณะเฉพาะ: ในระยะแรกจะมีอาการคล้ายไข้หวัด คือ มีไข้ ไอ น้ำมูกไหล ตาแดง หลังจากนั้นประมาณ 3-4 วัน จะเริ่มมีผื่นนูนแดงขึ้น โดยเริ่มจากบริเวณใบหน้าและหลังหู ก่อนจะลามไปยังลำตัวและแขนขา จุดสังเกตที่สำคัญคือการพบจุดขาวๆ เล็กๆ ในกระพุ้งแก้ม (Koplik’s spots) ก่อนที่ผื่นจะขึ้น
ความเสี่ยงและภาวะแทรกซ้อน: โรคหัดอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงได้ เช่น ปอดอักเสบ หูชั้นกลางอักเสบ ท้องเสียรุนแรงจนเกิดภาวะขาดน้ำ และที่อันตรายที่สุดคือภาวะสมองอักเสบ ซึ่งอาจทำให้เกิดความพิการถาวรหรือเสียชีวิตได้ สถิติพบว่าการระบาดมักจะเพิ่มสูงขึ้นในช่วงเดือนมกราคมของทุกปี
การป้องกัน: การฉีดวัคซีนป้องกันโรคหัด-คางทูม-หัดเยอรมัน (MMR) ตามกำหนดเวลา เป็นวิธีป้องกันที่มีประสิทธิภาพสูงสุด โดยฉีด 2 เข็ม เข็มแรกเมื่ออายุ 9-12 เดือน และเข็มที่สองเมื่ออายุ 1 ปีครึ่ง
2. โรคมือ เท้า ปาก (Hand, Foot, and Mouth Disease)
คำจำกัดความ: เป็นโรคติดเชื้อไวรัสในกลุ่มเอนเทอโรไวรัส (Enterovirus) พบบ่อยในทารกและเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 5 ปี แม้ว่าผู้ใหญ่ก็สามารถติดเชื้อได้เช่นกัน โรคนี้มักระบาดในโรงเรียนและสถานรับเลี้ยงเด็ก
อาการและลักษณะเฉพาะ: เริ่มจากมีไข้ต่ำๆ อ่อนเพลีย และเจ็บคอ หลังจากนั้น 1-2 วัน จะมีแผลหรือตุ่มพองใสในปาก บริเวณเพดานอ่อน กระพุ้งแก้ม และลิ้น ทำให้เด็กเจ็บปากและไม่อยากรับประทานอาหาร ต่อมาจะเกิดผื่นหรือตุ่มน้ำใสขึ้นบริเวณฝ่ามือ ฝ่าเท้า และอาจพบที่ก้นหรืออวัยวะเพศได้
ความเสี่ยงและภาวะแทรกซ้อน: โดยทั่วไปโรคนี้มีอาการไม่รุนแรงและหายได้เองใน 7-10 วัน แต่ภาวะแทรกซ้อนที่ต้องระวังคือภาวะขาดน้ำจากการเจ็บแผลในปาก และในกรณีที่ติดเชื้อไวรัสสายพันธุ์รุนแรง (เช่น EV-A71) อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนทางระบบประสาทที่อันตราย เช่น สมองอักเสบ กล้ามเนื้ออ่อนแรง หรือเยื่อหุ้มสมองอักเสบ
การป้องกัน: ปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนป้องกันโดยตรง การป้องกันจึงเน้นที่การรักษาสุขอนามัยอย่างเคร่งครัด ได้แก่ การล้างมือด้วยสบู่และน้ำบ่อยๆ โดยเฉพาะหลังเข้าห้องน้ำและก่อนรับประทานอาหาร การทำความสะอาดของเล่นและพื้นผิวที่สัมผัสบ่อยๆ และการคัดแยกเด็กที่ป่วยออกจากเด็กปกติเพื่อป้องกันการแพร่ระบาด
3. โรคอุจจาระร่วงเฉียบพลัน (Acute Diarrhea)
คำจำกัดความ: แม้จะดูเหมือนเป็นโรคที่พบได้ตลอดทั้งปี แต่ในช่วงฤดูหนาวมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะการติดเชื้อไวรัสโรต้า (Rotavirus) และโนโรไวรัส (Norovirus) ซึ่งทนทานต่อสภาพอากาศเย็นและเป็นสาเหตุสำคัญของโรคอุจจาระร่วงในเด็ก
อาการและลักษณะเฉพาะ: ผู้ป่วยจะมีอาการถ่ายเหลวเป็นน้ำ มากกว่า 3 ครั้งต่อวัน หรือถ่ายเป็นมูกเลือด อาจมีอาการปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน และมีไข้ร่วมด้วย
ความเสี่ยงและภาวะแทรกซ้อน: อันตรายที่สุดของโรคนี้คือภาวะขาดน้ำและเกลือแร่อย่างรุนแรง ซึ่งสังเกตได้จากอาการปากแห้ง ตาโหล กระหายน้ำมาก ปัสสาวะน้อยลง อ่อนเพลียมาก และอาจนำไปสู่ภาวะช็อกและเสียชีวิตได้หากไม่ได้รับการรักษาทันท่วงที โดยเฉพาะในเด็กเล็กและผู้สูงอายุ
การป้องกัน: ยึดหลัก “กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ” คือ รับประทานอาหารที่ปรุงสุกใหม่ๆ ใช้ช้อนกลางเมื่อรับประทานอาหารร่วมกับผู้อื่น และล้างมือให้สะอาดทุกครั้งก่อนรับประทานอาหารและหลังเข้าห้องน้ำ รวมถึงการดื่มน้ำที่สะอาด สำหรับเด็กทารก การหยอดวัคซีนโรต้าสามารถช่วยป้องกันการติดเชื้อรุนแรงได้
กลุ่มโรค | กลุ่มเสี่ยงหลัก | อาการสำคัญ | วิธีป้องกันเบื้องต้น |
---|---|---|---|
ไข้หวัดใหญ่ | เด็กเล็ก, ผู้สูงอายุ, ผู้มีโรคประจำตัว | ไข้สูงฉับพลัน, ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อรุนแรง, อ่อนเพลียมาก | ฉีดวัคซีนประจำปี, รักษาสุขอนามัย, สวมหน้ากาก |
หัด | เด็กเล็กที่ยังไม่ได้รับวัคซีน | ไข้, ไอ, ตาแดง, มีผื่นนูนแดงขึ้นทั่วตัว | รับวัคซีน MMR ให้ครบตามเกณฑ์ |
มือ เท้า ปาก | ทารกและเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี | มีไข้, มีแผลในปาก, มีตุ่มน้ำใสที่ฝ่ามือ-ฝ่าเท้า | ล้างมือบ่อยๆ, ทำความสะอาดของเล่นและพื้นผิว |
อุจจาระร่วงเฉียบพลัน | ทุกกลุ่มวัย โดยเฉพาะเด็กและผู้สูงอายุ | ถ่ายเหลวเป็นน้ำ, คลื่นไส้, อาเจียน, ปวดท้อง | กินร้อน, ช้อนกลาง, ล้างมือ, ดื่มน้ำสะอาด |
ภัยเงียบที่มากับความหนาวเย็น: ภาวะหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน
นอกเหนือจากกลุ่มโรคติดเชื้อที่กล่าวมาข้างต้น กรมควบคุมโรคยังได้เน้นย้ำถึงอีกหนึ่งภัยสุขภาพที่มักถูกมองข้ามในช่วงฤดูหนาว นั่นคือ ภาวะหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน หรือที่บางครั้งเรียกว่า “ไหลตาย” ในช่วงอากาศหนาว ซึ่งเป็นภาวะที่อันตรายและสามารถเกิดขึ้นได้อย่างกะทันหัน โดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุและผู้ที่มีโรคประจำตัวเกี่ยวกับหัวใจและหลอดเลือด
กลไกการเกิดภาวะนี้เกี่ยวข้องโดยตรงกับอุณหภูมิที่ลดต่ำลง เมื่อร่างกายสัมผัสกับความเย็นจัด หลอดเลือดส่วนปลายจะหดตัวอย่างรวดเร็วเพื่อพยายามสงวนความร้อนไว้ในร่างกาย การหดตัวของหลอดเลือดนี้ส่งผลให้ความดันโลหิตสูงขึ้น และทำให้หัวใจต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกาย สำหรับผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับหัวใจอยู่แล้ว การทำงานที่หนักขึ้นนี้อาจเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้หัวใจไม่สามารถทนรับภาระไหว และนำไปสู่ภาวะหัวใจล้มเหลวเฉียบพลันได้
“การเสียชีวิตโดยไม่ทราบสาเหตุในช่วงฤดูหนาวมักเกี่ยวข้องกับภาวะที่ร่างกายไม่สามารถปรับตัวต่ออุณหภูมิที่ลดลงได้ โดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุหรือผู้ที่ขาดเครื่องนุ่งห่มกันหนาวที่เพียงพอ การทำให้ร่างกายอบอุ่นอยู่เสมอจึงเป็นมาตรการป้องกันที่สำคัญอย่างยิ่ง”
กลุ่มเสี่ยงหลักของภาวะนี้ ได้แก่ ผู้สูงอายุ, ผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง, โรคหลอดเลือดหัวใจ, โรคเบาหวาน, และผู้ที่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เพื่อคลายหนาว ซึ่งเป็นความเชื่อที่ผิด เพราะแอลกอฮอล์จะทำให้หลอดเลือดขยายตัวและร่างกายสูญเสียความร้อนเร็วยิ่งขึ้น เพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะอุณหภูมิกายต่ำ (Hypothermia) และเป็นอันตรายถึงชีวิต
แนวทางป้องกันเชิงรุก: สร้างเกราะคุ้มกันสุขภาพรับลมหนาว
การป้องกันย่อมดีกว่าการรักษา การเตรียมความพร้อมและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพเพื่อรับมือกับฤดูหนาวเป็นสิ่งจำเป็นที่ทุกคนสามารถทำได้ โดยมีแนวทางปฏิบัติที่สำคัญดังต่อไปนี้:
- สร้างเสริมภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง: รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ โดยเน้นผักและผลไม้ที่มีวิตามินซีสูง ดื่มน้ำอุ่นให้เพียงพอ พักผ่อนให้เต็มที่อย่างน้อย 7-8 ชั่วโมงต่อวัน และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอเพื่อกระตุ้นการไหลเวียนโลหิตและเสริมสร้างความแข็งแรงของร่างกาย
- รักษาร่างกายให้อบอุ่นเสมอ: สวมใส่เสื้อผ้าหนาๆ หลายชั้น สวมถุงเท้าและหมวกเมื่ออากาศเย็นจัด โดยเฉพาะในช่วงกลางคืนและช่วงเช้ามืด หลีกเลี่ยงการสัมผัสอากาศเย็นโดยตรงเป็นเวลานานๆ สำหรับผู้สูงอายุ ควรมีการจัดเตรียมเครื่องนุ่งห่มกันหนาวให้เพียงพอ
- ยึดหลักสุขอนามัยส่วนบุคคล: ล้างมือด้วยสบู่และน้ำหรือเจลแอลกอฮอล์ให้เป็นนิสัย โดยเฉพาะก่อนรับประทานอาหาร หลังเข้าห้องน้ำ และหลังจากสัมผัสสิ่งของในที่สาธารณะ ใช้ช้อนกลางในการรับประทานอาหารร่วมกัน และหลีกเลี่ยงการใช้สิ่งของส่วนตัว เช่น แก้วน้ำ หรือผ้าเช็ดหน้า ร่วมกับผู้อื่น
- จัดการสภาพแวดล้อมให้เหมาะสม: ดูแลให้ที่พักอาศัยมีอากาศถ่ายเทสะดวก แม้จะปิดหน้าต่างเพื่อกันความหนาว ก็ควรมีการเปิดระบายอากาศเป็นระยะๆ เพื่อลดการสะสมของเชื้อโรคในบ้าน ทำความสะอาดบ้านและของใช้ต่างๆ อย่างสม่ำเสมอ
- หลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยง: งดการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เพื่อคลายหนาว หลีกเลี่ยงการเข้าไปในสถานที่ที่มีผู้คนแออัดหากไม่จำเป็น หากต้องไป ควรพิจารณาสวมหน้ากากอนามัยเพื่อป้องกันการรับเชื้อทางเดินหายใจ
- การรับวัคซีนป้องกันโรค: เข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคตามคำแนะนำของแพทย์ โดยเฉพาะวัคซีนไข้หวัดใหญ่ซึ่งควรฉีดเป็นประจำทุกปี และตรวจสอบประวัติการรับวัคซีน MMR สำหรับเด็กเพื่อให้แน่ใจว่าได้รับครบถ้วน
บทสรุปและข้อแนะนำในการเตรียมพร้อม
การมาถึงของฤดูหนาวนำมาซึ่งบรรยากาศที่สดชื่น แต่ก็มาพร้อมกับความท้าทายด้านสุขภาพที่ไม่อาจละเลยได้ จากคำเตือนของกรมควบคุมโรคเกี่ยวกับ 4 กลุ่มโรคฮิต ได้แก่ โรคติดต่อระบบทางเดินหายใจ (ไข้หวัดใหญ่, หัด), โรคมือ เท้า ปาก, และโรคอุจจาระร่วง รวมถึงภัยเงียบอย่างภาวะหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน แสดงให้เห็นถึงความจำเป็นในการเตรียมความพร้อมและเฝ้าระวังอย่างจริงจัง
หัวใจสำคัญของการมีสุขภาพที่ดีในช่วงฤดูหนาวคือการป้องกันเชิงรุก เริ่มต้นจากการดูแลสุขภาพพื้นฐานของตนเองให้แข็งแรง การรักษาสุขอนามัยอย่างเคร่งครัด การทำให้ร่างกายอบอุ่นอยู่เสมอ และการปฏิบัติตามคำแนะนำด้านสาธารณสุขอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะการให้ความสำคัญกับกลุ่มเสี่ยง เช่น เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ และผู้มีโรคประจำตัว ซึ่งต้องการการดูแลเอาใจใส่เป็นพิเศษ
หากพบว่าตนเองหรือคนในครอบครัวมีอาการผิดปกติที่เข้าข่ายโรคดังกล่าว เช่น มีไข้สูง ไอ เจ็บคอ มีผื่นขึ้น หรือท้องร่วงรุนแรง ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและการรักษาที่ถูกต้อง ไม่ควรซื้อยารับประทานเอง เพราะอาจทำให้อาการรุนแรงขึ้นหรือเกิดภาวะแทรกซ้อนได้ การตื่นตัวและใส่ใจสุขภาพ จะเป็นเกราะป้องกันที่ดีที่สุดที่ช่วยให้ทุกคนผ่านพ้นช่วงลมหนาวนี้ไปได้อย่างปลอดภัยและมีความสุข