ระวัง! 4 โรคฮิตปลายฝนต้นหนาว รู้ทันก่อนป่วย
เมื่อประเทศไทยก้าวเข้าสู่ช่วงรอยต่อของฤดูกาล หรือที่เรียกกันว่า “ปลายฝนต้นหนาว” สภาพอากาศที่แปรปรวนและอุณหภูมิที่ลดลงอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ร่างกายต้องปรับตัวอย่างหนัก ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลงและเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะโรคติดต่อในระบบทางเดินหายใจที่มักระบาดในช่วงเวลานี้
- ช่วงปลายฝนต้นหนาวเป็นช่วงเวลาที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเจ็บป่วยจากโรคระบบทางเดินหายใจ เนื่องจากอากาศที่เย็นและชื้นเอื้อต่อการแพร่กระจายของเชื้อไวรัส
- โรคไข้หวัดใหญ่และโรคปอดบวมเป็นสองโรคสำคัญที่ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ เนื่องจากอาจมีอาการรุนแรงและนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่เป็นอันตรายถึงชีวิตได้
- กลุ่มเสี่ยงที่ต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษ ได้แก่ เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ และผู้ที่มีโรคประจำตัว เนื่องจากมีระบบภูมิคุ้มกันที่ไม่แข็งแรงเท่าคนทั่วไป
- การป้องกันที่ดีที่สุดคือการรักษาสุขอนามัยอย่างเคร่งครัด การฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ และการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกายแข็งแรงอยู่เสมอ
บทความนี้จะให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับ ระวัง! 4 โรคฮิตปลายฝนต้นหนาว รู้ทันก่อนป่วย เพื่อสร้างความตระหนักรู้และเป็นแนวทางในการดูแลสุขภาพของตนเองและคนในครอบครัวให้ปลอดภัยจากโรคภัยไข้เจ็บที่มาพร้อมกับลมหนาว การทำความเข้าใจถึงสาเหตุ อาการ และวิธีป้องกันของแต่ละโรค จะช่วยให้สามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของฤดูกาลได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดความเสี่ยงในการเจ็บป่วย และส่งเสริมให้มีสุขภาพที่ดีตลอดช่วงฤดูหนาว
ความเสี่ยงด้านสุขภาพในช่วงเปลี่ยนผ่านฤดู
ช่วงปลายฝนต้นหนาวในประเทศไทย ซึ่งโดยทั่วไปจะอยู่ในช่วงเดือนตุลาคมถึงพฤศจิกายน เป็นช่วงเวลาที่สภาพอากาศมีความผันผวนสูง กลางวันอาจยังมีอากาศร้อนอบอ้าว แต่ในตอนเช้าและกลางคืนอุณหภูมิจะลดต่ำลงอย่างเห็นได้ชัด การเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิอย่างรวดเร็วนี้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อระบบต่าง ๆ ในร่างกาย โดยเฉพาะระบบทางเดินหายใจและระบบภูมิคุ้มกัน
อากาศที่เย็นและแห้งทำให้เยื่อบุโพรงจมูกและลำคอแห้งลง ซึ่งเป็นปราการด่านแรกในการป้องกันเชื้อโรคอ่อนแอลง เปิดโอกาสให้เชื้อไวรัสและแบคทีเรียเข้าสู่ร่างกายได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ เชื้อไวรัสหลายชนิด โดยเฉพาะไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคทางเดินหายใจ สามารถมีชีวิตอยู่ในสภาวะอากาศเย็นได้ยาวนานกว่าปกติ ทำให้มีความสามารถในการแพร่กระจายเชื้อเพิ่มสูงขึ้น ปัจจัยเหล่านี้ล้วนเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ผู้คนเจ็บป่วยได้ง่ายในช่วงเปลี่ยนฤดู
กลุ่มบุคคลที่ต้องให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพเป็นพิเศษในช่วงนี้คือกลุ่มเสี่ยง ซึ่งได้แก่:
- เด็กเล็ก: ระบบภูมิคุ้มกันของเด็กยังพัฒนาไม่เต็มที่ ทำให้มีความไวต่อการติดเชื้อสูงกว่าผู้ใหญ่
- ผู้สูงอายุ: ร่างกายที่เสื่อมถอยตามวัยและระบบภูมิคุ้มกันที่ทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ ทำให้เสี่ยงต่อการติดเชื้อและเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรง
- ผู้ที่มีโรคประจำตัว: ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง เช่น โรคหอบหืด โรคหัวใจ โรคเบาหวาน หรือโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (COPD) มีความเสี่ยงสูงที่อาการของโรคจะกำเริบหรือเกิดการติดเชื้อซ้ำซ้อนได้ง่าย
- สตรีมีครรภ์: การเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยาและฮอร์โมนระหว่างตั้งครรภ์อาจส่งผลต่อระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้มีความเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยมากขึ้น
เจาะลึก 4 โรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ
ในช่วงอากาศเปลี่ยนแปลง มีโรคติดต่อหลายชนิดที่ระบาดได้ง่าย แต่มี 4 โรคหลักที่ต้องให้ความสำคัญและเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด เนื่องจากพบผู้ป่วยจำนวนมากและบางโรคอาจทวีความรุนแรงจนเป็นอันตรายได้
โรคไข้หวัดใหญ่ (Influenza)
คำจำกัดความ: โรคไข้หวัดใหญ่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสอินฟลูเอนซา (Influenza Virus) ซึ่งเป็นเชื้อไวรัสที่ส่งผลกระทบต่อระบบทางเดินหายใจ ตั้งแต่จมูก ลำคอ ไปจนถึงปอด การระบาดของโรคนี้มักเกิดขึ้นเป็นฤดูกาล โดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาวและช่วงที่อากาศเปลี่ยนแปลง สามารถแพร่กระจายเชื้อได้อย่างรวดเร็วผ่านทางละอองฝอยจากการไอ จาม หรือการสัมผัสพื้นผิวที่มีเชื้อโรคแล้วมาสัมผัสใบหน้า
อาการและลักษณะเฉพาะ: อาการของไข้หวัดใหญ่มักเกิดขึ้นอย่างฉับพลันและรุนแรงกว่าไข้หวัดธรรมดา ผู้ป่วยจะมีอาการไข้สูงลอย (38 องศาเซลเซียสขึ้นไป) หนาวสั่น ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อและข้ออย่างรุนแรง อ่อนเพลียมาก และอาจมีอาการเจ็บคอ ไอแห้ง และคัดจมูกร่วมด้วย ในเด็กอาจพบอาการคลื่นไส้ อาเจียน หรือท้องเสียได้
ความเสี่ยงและภาวะแทรกซ้อน: แม้ว่าผู้ป่วยส่วนใหญ่จะหายได้เองภายใน 1-2 สัปดาห์ แต่ในกลุ่มเสี่ยงอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงได้ เช่น โรคปอดบวม การติดเชื้อในหู การติดเชื้อแบคทีเรียซ้ำซ้อน หรือทำให้อาการของโรคประจำตัวแย่ลง ในกรณีที่รุนแรงที่สุด อาจนำไปสู่ภาวะระบบหายใจล้มเหลวและเสียชีวิตได้
โรคปอดบวม (Pneumonia)
คำจำกัดความ: โรคปอดบวม หรือ ปอดอักเสบ คือภาวะที่ถุงลมในปอดเกิดการอักเสบและมีของเหลวหรือหนองคั่งอยู่ภายใน ทำให้การแลกเปลี่ยนออกซิเจนทำได้ลำบาก เกิดจากการติดเชื้อได้ทั้งไวรัส แบคทีเรีย หรือเชื้อรา โรคปอดบวมมักเป็นภาวะแทรกซ้อนที่ตามมาหลังจากเป็นไข้หวัดหรือไข้หวัดใหญ่ โดยเฉพาะเมื่อร่างกายอ่อนแอ
อาการและลักษณะเฉพาะ: อาการสำคัญของโรคปอดบวม ได้แก่ ไอมีเสมหะ (เสมหะอาจมีสีเขียว เหลือง หรือมีเลือดปน) มีไข้สูง หนาวสั่น หายใจหอบเหนื่อย หายใจเร็ว และเจ็บหน้าอกขณะหายใจหรือไอ ในผู้สูงอายุ อาการอาจไม่ชัดเจน แต่อาจแสดงออกด้วยอาการสับสนหรืออุณหภูมิร่างกายต่ำกว่าปกติ
ความเสี่ยงและภาวะแทรกซ้อน: สภาพอากาศที่เย็นและแปรปรวนในช่วงปลายฝนต้นหนาวเป็นปัจจัยที่ส่งเสริมให้เกิดโรคนี้ได้ง่ายขึ้น หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรง เช่น การติดเชื้อในกระแสเลือด ฝีในปอด น้ำในช่องเยื่อหุ้มปอด และภาวะหายใจล้มเหลวเฉียบพลัน ซึ่งเป็นอันตรายถึงชีวิต
โรคไข้หวัดธรรมดา (Common Cold)
คำจำกัดความ: ไข้หวัดธรรมดาเป็นการติดเชื้อไวรัสบริเวณระบบทางเดินหายใจส่วนบน (จมูกและลำคอ) เกิดจากเชื้อไวรัสได้หลายชนิด แต่ส่วนใหญ่มักเกิดจากเชื้อไรโนไวรัส (Rhinovirus) เป็นโรคที่พบได้บ่อยที่สุด โดยเฉพาะในช่วงที่อากาศเปลี่ยนแปลง แม้อาการจะไม่รุนแรงเท่าไข้หวัดใหญ่ แต่ก็สร้างความรำคาญและส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันได้
อาการและลักษณะเฉพาะ: อาการมักจะค่อยเป็นค่อยไป เริ่มจากอาการเจ็บคอ คัดจมูก มีน้ำมูกใส แล้วอาจเปลี่ยนเป็นสีเหลืองหรือเขียวในภายหลัง ตามด้วยอาการไอและจาม อาจมีไข้ต่ำๆ หรือไม่มีไข้เลยก็ได้ อาการโดยรวมมักไม่รุนแรงและค่อยๆ ดีขึ้นภายใน 7-10 วัน
การเปรียบเทียบกับไข้หวัดใหญ่: การแยกความแตกต่างระหว่างไข้หวัดธรรมดาและไข้หวัดใหญ่เป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้สามารถดูแลตนเองและพิจารณาความจำเป็นในการพบแพทย์ได้อย่างถูกต้อง
อาการ | โรคไข้หวัดธรรมดา (Common Cold) | โรคไข้หวัดใหญ่ (Influenza) |
---|---|---|
การเริ่มของอาการ | ค่อยเป็นค่อยไป | เกิดขึ้นฉับพลัน |
ไข้ | มีไข้ต่ำ ๆ หรือไม่มีไข้ | มีไข้สูง (38-40°C) เป็นปกติ |
ปวดเมื่อยตามตัว | เล็กน้อย | รุนแรง เป็นลักษณะเด่น |
หนาวสั่น | ไม่ค่อยพบ | พบบ่อย |
อ่อนเพลีย | เล็กน้อย | รุนแรงและยาวนาน |
อาการทางจมูก (คัดจมูก, จาม) | พบบ่อยและเป็นอาการหลัก | อาจมีบ้าง แต่ไม่เด่นชัด |
ปวดศีรษะ | ไม่ค่อยพบ หรือปวดเล็กน้อย | พบบ่อยและรุนแรง |
ภาวะแทรกซ้อน | พบน้อยมาก (อาจมีการติดเชื้อที่หูหรือไซนัส) | อาจรุนแรง เช่น ปอดบวม, หลอดลมอักเสบ |
โรคหอบหืด (Asthma)
คำจำกัดความ: โรคหอบหืดเป็นโรคเรื้อรังของหลอดลมที่มีการอักเสบและหดเกร็งของกล้ามเนื้อรอบหลอดลม ทำให้หลอดลมตีบแคบลง ผู้ป่วยจะมีอาการหายใจลำบาก หายใจมีเสียงหวีด ไอ และแน่นหน้าอก โดยอาการมักกำเริบเมื่อเจอสิ่งกระตุ้น
การกระตุ้นจากสภาพอากาศ: สำหรับผู้ป่วยโรคหอบหืด ช่วงปลายฝนต้นหนาวถือเป็นช่วงเวลาที่ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ อากาศที่เย็นและแห้งสามารถกระตุ้นให้หลอดลมเกิดการหดตัวอย่างรุนแรง (Bronchospasm) ทำให้เกิดอาการหอบกำเริบได้ นอกจากนี้ การติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ เช่น ไข้หวัด หรือไข้หวัดใหญ่ ก็เป็นหนึ่งในสิ่งกระตุ้นที่พบบ่อยที่สุดที่ทำให้อาการหอบหืดแย่ลง
การจัดการและการป้องกัน: ผู้ป่วยโรคหอบหืดควรใช้ยาควบคุมอาการตามที่แพทย์สั่งอย่างสม่ำเสมอ พกยาพ่นขยายหลอดลมสำหรับกรณีฉุกเฉินติดตัวไว้เสมอ และหลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้นต่าง ๆ เช่น การสัมผัสอากาศเย็นโดยตรง การออกกำลังกายในที่อากาศเย็นจัด และการอยู่ใกล้ชิดผู้ป่วยโรคทางเดินหายใจ
โรคอื่น ๆ ที่ควรจับตาในช่วงปลายฝนต้นหนาว
นอกเหนือจาก 4 โรคหลักที่กล่าวมา ยังมีโรคอื่น ๆ ที่มีแนวโน้มระบาดเพิ่มขึ้นในช่วงนี้เช่นกัน การทราบข้อมูลเบื้องต้นจะช่วยให้เฝ้าระวังและป้องกันได้อย่างครอบคลุม
โรคติดเชื้อไวรัส RSV (Respiratory Syncytial Virus)
ไวรัส RSV เป็นสาเหตุสำคัญของการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ โดยเฉพาะในเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 2 ปี ในผู้ใหญ่อาการอาจคล้ายไข้หวัดธรรมดา แต่ในเด็กเล็กอาจทำให้เกิดภาวะหลอดลมฝอยอักเสบหรือปอดบวมรุนแรงได้ อาการเบื้องต้นคือมีไข้ ไอ มีน้ำมูก และหายใจลำบาก หายใจมีเสียงหวีด ซึ่งต้องรีบพบแพทย์ทันที
โรคอุจจาระร่วงเฉียบพลัน
แม้จะไม่ใช่โรคทางเดินหายใจโดยตรง แต่โรคอุจจาระร่วงจากเชื้อไวรัส โดยเฉพาะโรตาไวรัส (Rotavirus) มักระบาดหนักในช่วงฤดูหนาว เชื้อโรคสามารถปนเปื้อนมากับอาหารและน้ำที่ไม่สะอาด ทำให้มีอาการถ่ายเหลวเป็นน้ำ อาเจียน และอาจมีไข้ร่วมด้วย สิ่งสำคัญคือการป้องกันภาวะขาดน้ำ โดยการดื่มน้ำเกลือแร่ทดแทน และรักษาสุขอนามัยในการรับประทานอาหารอย่างเคร่งครัด
โรคมือ เท้า ปาก (Hand, Foot, and Mouth Disease)
เป็นโรคที่พบบ่อยในเด็กเล็ก เกิดจากเชื้อไวรัสกลุ่มเอนเทอโรไวรัส (Enterovirus) ทำให้มีไข้ มีแผลในปาก เจ็บคอ และมีผื่นหรือตุ่มน้ำใสขึ้นบริเวณฝ่ามือ ฝ่าเท้า หรือลำตัว โรคนี้แพร่กระจายผ่านการสัมผัสสารคัดหลั่งของผู้ป่วย จึงมักระบาดในสถานศึกษาหรือสถานรับเลี้ยงเด็ก การล้างมือบ่อย ๆ เป็นวิธีป้องกันที่ดีที่สุด
แนวทางการป้องกันและเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน
การป้องกันโรคในช่วงปลายฝนต้นหนาวที่มีประสิทธิภาพที่สุดคือการดูแลสุขภาพเชิงรุก โดยผสมผสานหลากหลายวิธีเพื่อเสริมสร้างเกราะป้องกันให้ร่างกายแข็งแรงพร้อมรับมือกับเชื้อโรค
การรักษาสุขอนามัยส่วนบุคคล
การล้างมือเป็นวัคซีนที่ทำได้ด้วยตนเอง และเป็นวิธีที่ง่ายและมีประสิทธิภาพที่สุดในการป้องกันการติดเชื้อ
- ล้างมือบ่อย ๆ: ควรล้างมือด้วยสบู่และน้ำสะอาดอย่างน้อย 20 วินาที โดยเฉพาะหลังการไอ จาม ก่อนรับประทานอาหาร และหลังสัมผัสพื้นที่สาธารณะ หากไม่สะดวก สามารถใช้เจลแอลกอฮอล์ที่มีความเข้มข้น 70% ขึ้นไปทดแทนได้
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสใบหน้า: พยายามไม่ใช้มือที่ยังไม่ได้ล้างสัมผัสบริเวณ ตา จมูก และปาก เพราะเป็นช่องทางที่เชื้อโรคจะเข้าสู่ร่างกายได้ง่ายที่สุด
- ใช้ช้อนกลาง: เมื่อรับประทานอาหารร่วมกับผู้อื่น ควรใช้ช้อนกลางเสมอเพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโรคผ่านทางน้ำลาย
- สวมหน้ากากอนามัย: หากต้องไปยังสถานที่แออัด หรือเมื่อมีอาการป่วย ควรสมหน้ากากอนามัยเพื่อป้องกันการรับและแพร่กระจายเชื้อ
การฉีดวัคซีนป้องกันโรค
การฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่เป็นมาตรการป้องกันที่มีประสิทธิภาพสูงในการลดความเสี่ยงของการติดเชื้อ ลดความรุนแรงของโรค และป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น ควรเข้ารับการฉีดวัคซีนเป็นประจำทุกปี เนื่องจากเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่มีการเปลี่ยนแปลงสายพันธุ์อยู่เสมอ โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยงควรเข้ารับการฉีดวัคซีนก่อนเข้าสู่ฤดูระบาด
การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและสภาพแวดล้อม
- แต่งกายให้อบอุ่น: สวมใส่เสื้อผ้าที่ให้ความอบอุ่นเพียงพอ โดยเฉพาะบริเวณหน้าอก คอ และศีรษะ เพื่อรักษาอุณหภูมิแกนกลางของร่างกายให้คงที่
- หลีกเลี่ยงสถานที่แออัด: ในช่วงที่มีการระบาด ควรหลีกเลี่ยงการเข้าไปในสถานที่ที่มีผู้คนพลุกพล่าน เช่น ห้างสรรพสินค้า โรงภาพยนตร์ หรือระบบขนส่งสาธารณะที่หนาแน่น
- รักษาระยะห่าง: เว้นระยะห่างจากผู้ที่มีอาการป่วย เช่น ไอ หรือจาม เพื่อลดโอกาสในการรับเชื้อ
- ดูแลสภาพแวดล้อมในบ้าน: เปิดหน้าต่างให้อากาศถ่ายเทสะดวก ทำความสะอาดพื้นผิวที่สัมผัสบ่อย ๆ และอาจใช้เครื่องทำความชื้นเพื่อไม่ให้อากาศในห้องแห้งจนเกินไป
การเสริมสร้างความแข็งแรงของร่างกาย
ระบบภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงเป็นหัวใจสำคัญของการป้องกันโรค การดูแลสุขภาพโดยรวมจึงเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์: เน้นการรับประทานผักและผลไม้หลากสี ซึ่งอุดมไปด้วยวิตามินและสารต้านอนุมูลอิสระ โดยเฉพาะวิตามินซี ที่ช่วยในการทำงานของเซลล์เม็ดเลือดขาว รวมทั้งรับประทานโปรตีนให้เพียงพอเพื่อซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ
- ดื่มน้ำให้เพียงพอ: การดื่มน้ำสะอาดอย่างน้อยวันละ 8-10 แก้ว ช่วยให้เยื่อบุทางเดินหายใจชุ่มชื้นและทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- พักผ่อนให้เพียงพอ: การนอนหลับ 7-9 ชั่วโมงต่อคืน เป็นช่วงเวลาที่ร่างกายจะซ่อมแซมตัวเองและสร้างเซลล์ภูมิคุ้มกัน การอดนอนทำให้ร่างกายอ่อนแอและติดเชื้อง่ายขึ้น
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ: การออกกำลังกายระดับปานกลางอย่างน้อย 30 นาทีต่อวัน 3-5 วันต่อสัปดาห์ ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนโลหิตและเสริมสร้างการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน
สรุป: การดูแลสุขภาพเชิงรุกเพื่อรับมือหน้าหนาว
ช่วงปลายฝนต้นหนาวนำมาซึ่งสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงและสวยงาม แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นช่วงเวลาที่ต้องเพิ่มความใส่ใจในการดูแลสุขภาพเป็นพิเศษ การตระหนักถึงความเสี่ยงจากโรคฮิต 4 ชนิด ได้แก่ ไข้หวัดใหญ่ ปอดบวม ไข้หวัดธรรมดา และการกำเริบของโรคหอบหืด รวมถึงโรคอื่น ๆ ที่พบบ่อย จะช่วยให้สามารถวางแผนป้องกันได้อย่างถูกจุด
หัวใจสำคัญของการมีสุขภาพดีในช่วงเปลี่ยนฤดูคือการป้องกันเชิงรุก ตั้งแต่การรักษาสุขอนามัยขั้นพื้นฐาน เช่น การล้างมือ ไปจนถึงการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันผ่านการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ การออกกำลังกาย และการพักผ่อนให้เพียงพอ การฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ยังคงเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยลดความเสี่ยงและความรุนแรงของโรคได้อย่างมีนัยสำคัญ
ท้ายที่สุด การสังเกตอาการผิดปกติของร่างกายตนเองและคนในครอบครัว และการปรึกษาแพทย์ตั้งแต่เนิ่น ๆ เมื่อมีอาการน่าสงสัย คือสิ่งสำคัญที่สุดในการป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง การเตรียมความพร้อมที่ดีจะช่วยให้ทุกคนสามารถผ่านช่วงฤดูหนาวไปได้อย่างมีความสุขและมีสุขภาพที่แข็งแรง