Shopping cart

ไข้เลือดออกสายพันธุ์ใหม่ระบาด! อาการแบบไหนต้องรีบหาหมอ

สารบัญ

สถานการณ์การระบาดของโรคไข้เลือดออกยังคงเป็นปัญหาด้านสาธารณสุขที่สำคัญ โดยเฉพาะเมื่อมีการปรากฏของสายพันธุ์ใหม่ที่อาจมีความรุนแรงและซับซ้อนกว่าเดิม การทำความเข้าใจเกี่ยวกับอาการเบื้องต้นและสัญญาณเตือนอันตรายจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง เพื่อให้สามารถรับมือและเข้ารับการรักษาได้อย่างทันท่วงที

ประเด็นสำคัญเกี่ยวกับไข้เลือดออกสายพันธุ์ใหม่

  • การระบาดในปี 2568: กรมควบคุมโรคได้ประกาศเตือนถึงการระบาดของไข้เลือดออกสายพันธุ์ใหม่ ซึ่งมีแนวโน้มที่จะรุนแรงขึ้น และมีอาการเริ่มต้นที่คล้ายคลึงกับไข้หวัดใหญ่ ทำให้การวินิจฉัยในระยะแรกทำได้ยาก
  • อาการที่ต้องจับตา: สัญญาณอันตรายที่บ่งชี้ว่าต้องรีบพบแพทย์ทันที ได้แก่ ไข้สูงลอยไม่ลด ปวดท้องรุนแรง อาเจียนต่อเนื่อง มีเลือดออกผิดปกติ และอาการช็อก
  • ความสำคัญของการวินิจฉัยที่รวดเร็ว: การแยกอาการไข้เลือดออกจากโรคอื่นและการสังเกตอาการเปลี่ยนแปลงอย่างใกล้ชิดมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการลดความเสี่ยงจากภาวะแทรกซ้อนรุนแรงที่อาจถึงแก่ชีวิต
  • วัคซีนทางเลือกใหม่: ปัจจุบันมีวัคซีน QDenga® (TAK-003) ซึ่งเป็นวัคซีนป้องกันไข้เลือดออกชนิดใหม่ที่ขึ้นทะเบียนแล้ว สามารถป้องกันเชื้อไวรัสได้ทุกสายพันธุ์ และฉีดได้โดยไม่จำเป็นต้องตรวจภูมิคุ้มกันก่อน
  • กลุ่มเสี่ยง: เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ และผู้ที่มีโรคประจำตัวเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดอาการรุนแรงหากติดเชื้อ จึงต้องเพิ่มความระมัดระวังเป็นพิเศษ

ความรุนแรงของไข้เลือดออกสายพันธุ์ใหม่ในปี 2568

ความรุนแรงของไข้เลือดออกสายพันธุ์ใหม่ในปี 2568

เมื่อเข้าสู่ช่วงฤดูฝน ปัญหาโรคระบาดที่มากับยุงลายอย่างไข้เลือดออกมักทวีความรุนแรงขึ้นเป็นปกติ อย่างไรก็ตาม สำหรับปี 2568 สถานการณ์มีความน่ากังวลมากขึ้นจากการเตือนของหน่วยงานสาธารณสุขเกี่ยวกับการระบาดของไข้เลือดออกสายพันธุ์ใหม่ ซึ่งอาจส่งผลให้การรับมือมีความท้าทายมากกว่าที่เคยเป็นมา การตระหนักรู้และเตรียมความพร้อมจึงเป็นหัวใจสำคัญในการป้องกันตนเองและคนรอบข้าง

สถานการณ์ปัจจุบันและคำเตือนจากหน่วยงานสาธารณสุข

กรมควบคุมโรคได้ออกมาให้ข้อมูลและเตือนภัยล่วงหน้าถึงแนวโน้มการระบาดของไข้เลือดออกในปี 2568 โดยชี้ให้เห็นว่าเชื้อไวรัสเดงกีมีการเปลี่ยนแปลงและปรับตัว ซึ่งอาจนำไปสู่การระบาดของสายพันธุ์ที่มีความสามารถในการก่อโรคที่รุนแรงกว่าเดิม คำเตือนนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อกระตุ้นให้ประชาชนและบุคลากรทางการแพทย์เพิ่มความระมัดระวังในการสังเกตอาการ โดยเฉพาะอาการที่ไม่จำเพาะเจาะจงในระยะแรก ซึ่งอาจทำให้เกิดความล่าช้าในการวินิจฉัยและรักษาที่ถูกต้อง

เหตุใดการระบาดครั้งนี้จึงน่ากังวล

ความน่ากังวลของการระบาดครั้งนี้อยู่ที่ลักษณะของอาการเริ่มต้น ซึ่งมีความคล้ายคลึงกับโรคไข้หวัดใหญ่เป็นอย่างมาก เช่น มีไข้สูง ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัว ทำให้ผู้ป่วยหรือแม้กระทั่งบุคลากรทางการแพทย์อาจเข้าใจผิดได้ง่ายในระยะแรก แต่สิ่งที่แตกต่างและเป็นจุดอันตรายคือ ไข้เลือดออกสายพันธุ์ใหม่สามารถดำเนินไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงได้อย่างรวดเร็ว เช่น ภาวะช็อก หรือเลือดออกภายในอวัยวะสำคัญ ซึ่งหากไม่ได้รับการดูแลรักษาอย่างทันท่วงทีก็อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ ดังนั้น การเฝ้าระวังอาการที่เปลี่ยนแปลงไปจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง

อาการของโรคไข้เลือดออก: แยกอย่างไรระหว่างอาการทั่วไปและอาการรุนแรง

การทำความเข้าใจลักษณะอาการของโรคไข้เลือดออกเป็นด่านแรกของการป้องกันภาวะแทรกซ้อนรุนแรง โดยอาการสามารถแบ่งออกได้เป็นสองกลุ่มหลัก คือ อาการทั่วไปที่พบได้ในระยะเริ่มต้น และสัญญาณอันตรายซึ่งเป็นตัวบ่งชี้ว่าจำเป็นต้องได้รับการดูแลทางการแพทย์อย่างเร่งด่วน

อาการทั่วไปในระยะเริ่มต้น

หลังจากได้รับเชื้อจากยุงลายประมาณ 3-14 วัน ผู้ป่วยจะเริ่มแสดงอาการ ซึ่งในระยะแรกมักมีลักษณะดังต่อไปนี้:

  • ไข้สูงเฉียบพลัน: อุณหภูมิร่างกายจะสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว เกิน 38.5 องศาเซลเซียส และมักเป็นไข้สูงลอยต่อเนื่องเป็นเวลา 2-7 วัน
  • ปวดศีรษะและปวดกระบอกตา: เป็นอาการที่ค่อนข้างเด่นชัด โดยผู้ป่วยจะรู้สึกปวดศีรษะอย่างรุนแรง และอาจมีอาการปวดลึกเข้าไปในกระบอกตาร่วมด้วย
  • ปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อและข้อ: อาการปวดเมื่อยตามร่างกายอย่างรุนแรงเป็นอีกหนึ่งลักษณะที่ทำให้โรคนี้ได้ชื่อว่า “Breakbone Fever”
  • หน้าแดง: ในช่วงแรกของไข้ ผู้ป่วยมักมีใบหน้าและลำตัวแดงกว่าปกติ
  • เบื่ออาหาร คลื่นไส้ และอาเจียน: เป็นอาการทางระบบทางเดินอาหารที่พบได้บ่อย
  • อาจมีผื่นหรือจุดเลือดออก: บางรายอาจพบผื่นแดงขึ้นตามผิวหนัง หรือมีจุดเลือดออกเล็กๆ ตามลำตัว แขน ขา

สิ่งสำคัญที่ใช้แยกไข้เลือดออกจากไข้หวัดทั่วไปคือ ไข้เลือดออกมักจะไม่มีอาการของระบบทางเดินหายใจ เช่น ไอ จาม หรือมีน้ำมูก

สัญญาณอันตรายที่ต้องพบแพทย์โดยด่วน

ช่วงที่อันตรายที่สุดของโรคไข้เลือดออกคือช่วงที่ไข้เริ่มลดลง ซึ่งเป็นช่วงที่อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงได้ หากพบอาการเหล่านี้แม้เพียงข้อเดียว ควรรีบไปโรงพยาบาลทันที เพราะอาจเป็นสัญญาณของภาวะช็อกจากการรั่วของพลาสมา

ตารางเปรียบเทียบอาการทั่วไปและสัญญาณอันตรายของโรคไข้เลือดออก
สัญญาณอันตราย (Warning Signs) ลักษณะอาการ ความสำคัญ
ปวดท้องรุนแรงและต่อเนื่อง มีอาการปวดท้องอย่างรุนแรง กดเจ็บบริเวณชายโครงด้านขวา ซึ่งเป็นตำแหน่งของตับ อาจเป็นสัญญาณของการมีเลือดออกในช่องท้องหรือตับโตจากการรั่วของพลาสมา
อาเจียนไม่หยุด อาเจียนบ่อยครั้ง มากกว่า 3-4 ครั้งในหนึ่งวัน หรือมีเลือดปนออกมากับอาเจียน ทำให้ร่างกายขาดน้ำและเกลือแร่อย่างรุนแรง และอาจเป็นสัญญาณของเลือดออกในกระเพาะอาหาร
เลือดออกผิดปกติ มีเลือดกำเดาไหล เลือดออกตามไรฟัน อาเจียนเป็นเลือด ถ่ายอุจจาระเป็นสีดำหรือมีเลือดปน มีจ้ำเลือดหรือรอยช้ำง่ายตามผิวหนัง บ่งชี้ว่าเกล็ดเลือดต่ำมากและระบบการแข็งตัวของเลือดกำลังล้มเหลว
ภาวะซึมและกระสับกระส่าย ผู้ป่วยมีอาการซึมลง อ่อนเพลียมากจนไม่สามารถทำกิจกรรมปกติได้ หรือในทางกลับกันอาจมีอาการกระสับกระส่าย ร้องกวนผิดปกติ (ในเด็ก) เป็นสัญญาณของการไหลเวียนเลือดไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ ซึ่งเป็นอาการนำของภาวะช็อก
ตัวเย็น มือเท้าเย็น รู้สึกเย็นบริเวณปลายมือปลายเท้า ร่วมกับหน้าซีด เหงื่อออก และชีพจรเบาเร็ว เป็นสัญญาณชัดเจนของภาวะช็อก (Dengue Shock Syndrome) ซึ่งระบบไหลเวียนโลหิตกำลังล้มเหลวและต้องได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วนที่สุด

การวินิจฉัยและระยะของโรคไข้เลือดออก

โรคไข้เลือดออกมีการดำเนินโรคที่เป็นลักษณะเฉพาะ โดยสามารถแบ่งออกเป็น 3 ระยะ ซึ่งการทำความเข้าใจในแต่ละระยะจะช่วยให้ผู้ดูแลสามารถสังเกตอาการและเตรียมพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ระยะไข้ (Febrile Phase)

เป็นระยะแรกของโรค กินเวลาประมาณ 2-7 วัน ผู้ป่วยจะมีไข้สูงเฉียบพลัน ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัว คลื่นไส้ อาเจียน และเบื่ออาหาร ในระยะนี้จำนวนไวรัสในกระแสเลือดจะสูง แต่จำนวนเกล็ดเลือดมักจะยังอยู่ในเกณฑ์ปกติหรือเริ่มลดลงเล็กน้อย การดูแลในระยะนี้เน้นการรักษาตามอาการ เช่น การให้ยาลดไข้ (เฉพาะพาราเซตามอล) การเช็ดตัว และการดื่มน้ำให้เพียงพอเพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำ

ระยะวิกฤต (Critical Phase)

เป็นช่วงเวลาที่อันตรายที่สุดและต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด โดยจะเกิดขึ้นในช่วง 24-48 ชั่วโมงหลังไข้เริ่มลดลง ในระยะนี้จะเกิดการรั่วของพลาสมา (ส่วนที่เป็นของเหลวในเลือด) ออกนอกหลอดเลือด ทำให้เลือดมีความเข้มข้นสูงขึ้น ความดันโลหิตต่ำลง และอาจนำไปสู่ภาวะช็อกได้ สัญญาณเตือนอันตรายต่างๆ ที่กล่าวไปข้างต้นมักจะปรากฏในระยะนี้ จำนวนเกล็ดเลือดจะลดลงต่ำสุด หากผู้ป่วยผ่านระยะนี้ไปได้โดยไม่มีภาวะแทรกซ้อนรุนแรง โอกาสรอดชีวิตจะสูงมาก

ระยะฟื้นตัว (Convalescent Phase)

หลังจากผ่านพ้นระยะวิกฤตไปได้ ร่างกายจะเริ่มฟื้นตัว โดยพลาสมาที่รั่วออกไปจะค่อยๆ ถูกดูดกลับเข้าสู่หลอดเลือด อาการโดยรวมจะดีขึ้นอย่างรวดเร็ว ผู้ป่วยจะเริ่มมีความอยากอาหาร ความดันโลหิตและชีพจรกลับสู่ภาวะปกติ และจำนวนเกล็ดเลือดจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว บางรายอาจมีผื่นแดงลักษณะเป็นวงขาวๆ ขึ้นตามร่างกาย ซึ่งเป็นสัญญาณของการฟื้นตัว และอาการคันอาจเกิดขึ้นได้ในระยะนี้

กลุ่มเสี่ยงที่ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ

แม้ว่าโรคไข้เลือดออกจะสามารถเกิดได้กับคนทุกเพศทุกวัย แต่มีบางกลุ่มที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดอาการรุนแรงและภาวะแทรกซ้อนสูงกว่าคนทั่วไป ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการดูแลและเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิดเป็นพิเศษ

เด็กเล็กและผู้สูงอายุ

ในเด็กเล็ก โดยเฉพาะทารก การวินิจฉัยอาจทำได้ยากเนื่องจากเด็กไม่สามารถบอกอาการได้ชัดเจน และมักมีอาการไม่ตรงไปตรงมา เช่น อาจมีเพียงไข้สูงและซึมลงเท่านั้น นอกจากนี้ ระบบภูมิคุ้มกันและหลอดเลือดของเด็กยังพัฒนาไม่เต็มที่ ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดภาวะช็อกได้ง่ายและรวดเร็วกว่าผู้ใหญ่ ส่วนในผู้สูงอายุ มักมีโรคประจำตัวร่วมด้วย ทำให้ร่างกายตอบสนองต่อการติดเชื้อได้ไม่ดีเท่าที่ควร และเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนที่ซับซ้อนขึ้น

ผู้ที่มีโรคประจำตัว

ผู้ที่มีโรคประจำตัวเรื้อรัง เช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคอ้วน หรือผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง ถือเป็นกลุ่มเสี่ยงสูง เนื่องจากโรคประจำตัวเหล่านี้ส่งผลต่อความแข็งแรงของหลอดเลือดและระบบไหลเวียนโลหิตโดยรวม เมื่อติดเชื้อไข้เลือดออกจึงมีแนวโน้มที่จะเกิดภาวะพลาสมารั่วและเลือดออกผิดปกติได้รุนแรงกว่าคนทั่วไป การควบคุมโรคประจำตัวให้ดีจึงเป็นสิ่งสำคัญในการลดความเสี่ยงดังกล่าว

แนวทางการป้องกัน: เกราะป้องกันใหม่ด้วยวัคซีน

การป้องกันโรคไข้เลือดออกที่ดีที่สุดคือการไม่ให้ยุงลายกัด ควบคู่ไปกับการกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุง อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันมีความก้าวหน้าทางการแพทย์ที่เข้ามาเป็นเครื่องมือสำคัญในการเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน นั่นคือ “วัคซีนป้องกันไข้เลือดออก”

วัคซีนป้องกันไข้เลือดออก QDenga® (TAK-003)

วัคซีน QDenga® (TAK-003) เป็นวัคซีนชนิดเชื้อเป็นอ่อนฤทธิ์ที่ได้รับการพัฒนาขึ้นมาเพื่อป้องกันเชื้อไวรัสเดงกีได้ครบทั้ง 4 สายพันธุ์ ซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนและเริ่มนำมาใช้ในประเทศไทยแล้ว จุดเด่นที่สำคัญของวัคซีนชนิดนี้คือ สามารถฉีดได้ทั้งในผู้ที่เคยและไม่เคยติดเชื้อไข้เลือดออกมาก่อน โดยไม่จำเป็นต้องตรวจเลือดเพื่อดูระดับภูมิคุ้มกันหรือซักประวัติการติดเชื้อในอดีต ซึ่งช่วยลดขั้นตอนและเพิ่มความสะดวกในการเข้าถึงวัคซีน

ประสิทธิภาพและกลุ่มเป้าหมายของวัคซีน

วัคซีนนี้ถูกออกแบบมาสำหรับผู้ที่มีอายุระหว่าง 4 ถึง 60 ปี โดยการฉีดจะขึ้นอยู่กับคำแนะนำของแพทย์เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดและลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น ข้อมูลจากการศึกษาวิจัยพบว่าวัคซีนมีประสิทธิภาพสูงในการป้องกันการติดเชื้อและการเกิดโรค

วัคซีน QDenga® มีประสิทธิภาพในการป้องกันไข้เลือดออกแบบรุนแรงที่ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลได้สูงถึงประมาณ 85.9% ซึ่งถือเป็นเครื่องมือสำคัญในการลดอัตราการป่วยหนักและเสียชีวิตจากโรคนี้

การป้องกันในระดับบุคคลและชุมชน

นอกจากการฉีดวัคซีนแล้ว มาตรการป้องกันพื้นฐานยังคงมีความสำคัญอย่างยิ่ง:

  • การป้องกันตนเอง: สวมใส่เสื้อผ้าแขนยาวขายาวเพื่อปกปิดร่างกายให้มิดชิด ทายากันยุงในบริเวณผิวหนังนอกร่มผ้า และนอนในมุ้งหรือห้องที่มีมุ้งลวดเพื่อป้องกันยุงกัด โดยเฉพาะยุงลายซึ่งมักออกหากินในเวลากลางวัน
  • การกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย: ปฏิบัติตามหลัก “3 เก็บ ป้องกัน 3 โรค” ได้แก่ เก็บบ้านให้สะอาด, เก็บขยะรอบบ้าน และเก็บน้ำ ปิดฝาภาชนะที่มีน้ำขังให้มิดชิดเพื่อตัดวงจรชีวิตของยุงลาย ซึ่งเป็นพาหะนำโรคไข้เลือดออก, โรคไข้ปวดข้อยุงลาย (ชิคุนกุนยา) และโรคติดเชื้อไวรัสซิกา

สรุปและข้อควรปฏิบัติ

การระบาดของไข้เลือดออกสายพันธุ์ใหม่ในปี 2568 เป็นภาวะที่ต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด เนื่องจากอาการเริ่มต้นที่คล้ายไข้หวัดใหญ่อาจทำให้เกิดความชะล่าใจ แต่โรคสามารถทวีความรุนแรงได้อย่างรวดเร็ว การมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับอาการทั่วไปและโดยเฉพาะอย่างยิ่ง “สัญญาณอันตราย” เป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่จะช่วยให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาทันท่วงทีและลดความเสี่ยงของการเสียชีวิต

การสังเกตอาการอย่างใกล้ชิดในช่วงที่ไข้ลดลงเป็นหัวใจสำคัญ หากพบอาการปวดท้องรุนแรง อาเจียนต่อเนื่อง มีเลือดออกผิดปกติ หรือมีอาการซึมลง ควรรีบไปโรงพยาบาลทันที นอกจากนี้ การป้องกันโดยการกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย การป้องกันตนเองไม่ให้ยุงกัด และการพิจารณาฉีดวัคซีนป้องกันไข้เลือดออกซึ่งเป็นเทคโนโลยีใหม่ ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำคัญในการสร้างเกราะป้องกันโรคที่อันตรายนี้ ดังนั้น การเตรียมพร้อมรับมืออย่างรอบด้านจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการปกป้องสุขภาพของตนเองและครอบครัวจากภัยของโรคระบาดหน้าฝน

กันยายน 2025
จ. อ. พ. พฤ. ศ. ส. อา.
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
2930