24 ก.ย. วันมหิดล: รู้ทัน 5 โรค NCDs ภัยเงียบของคนไทย
ในวันที่ 24 ก.ย. วันมหิดล: รู้ทัน 5 โรค NCDs ภัยเงียบของคนไทย ถือเป็นโอกาสอันดีในการน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก “พระบิดาแห่งการแพทย์แผนปัจจุบันของไทย” พร้อมทั้งสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับปัญหาสุขภาพที่สำคัญอย่างโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการเจ็บป่วยและเสียชีวิตของประชากรไทยในปัจจุบัน
สาระสำคัญของบทความ
- ความสำคัญของวันมหิดล: วันที่ 24 กันยายน เป็นวันคล้ายวันสวรรคตของสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก จึงถูกกำหนดให้เป็น “วันมหิดล” เพื่อรำลึกถึงพระเกียรติคุณและใช้เป็นวาระสำคัญในการรณรงค์ด้านสาธารณสุขของประเทศ
- สถานการณ์โรค NCDs: กลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรังเป็นสาเหตุการเสียชีวิตของคนไทยถึง 73% หรือประมาณ 400,000 คนต่อปี สร้างความสูญเสียทางเศรษฐกิจคิดเป็นมูลค่ามหาศาล และส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของประชาชนในวงกว้าง
- 5 กลุ่มโรค NCDs หลัก: บทความนี้จะเจาะลึก 5 กลุ่มโรคสำคัญ ได้แก่ โรคเบาหวาน, โรคหัวใจและหลอดเลือด, โรคทางเดินหายใจเรื้อรัง (ถุงลมโป่งพอง), โรคมะเร็ง, และกลุ่มโรคความดันโลหิตสูงซึ่งมักมาพร้อมกับภาวะอ้วนลงพุง
- ปัจจัยเสี่ยงและแนวทางป้องกัน: พฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ไม่เหมาะสมเป็นปัจจัยเสี่ยงหลัก แต่ในทางกลับกัน การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอย่างจริงจังสามารถลดความเสี่ยงในการเกิดโรคเหล่านี้ได้ถึง 80%
ความสำคัญของวันมหิดลกับสุขภาพคนไทย
วันที่ 24 กันยายนของทุกปี ถูกกำหนดให้เป็น “วันมหิดล” เพื่อเป็นอนุสรณ์รำลึกถึงวันคล้ายวันสวรรคตของสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก ด้วยพระราชกรณียกิจที่ทรงบำเพ็ญเพื่อพัฒนาการแพทย์และสาธารณสุขของประเทศไทยให้ทัดเทียมนานาอารยประเทศ พระองค์จึงได้รับการถวายพระสมัญญานามว่า “พระบิดาแห่งการแพทย์แผนปัจจุบันและการสาธารณสุขของไทย” วันมหิดลจึงมิใช่เป็นเพียงวันแห่งการรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณเท่านั้น แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของการขับเคลื่อนและรณรงค์ให้ประชาชนหันมาใส่ใจดูแลสุขภาพของตนเองอย่างจริงจัง
ในบริบทปัจจุบัน หน่วยงานด้านสาธารณสุขหลายแห่ง รวมถึงโรงพยาบาลศิริราชและมหาวิทยาลัยมหิดล ได้ใช้วันมหิดลเป็นโอกาสสำคัญในการให้ความรู้และกระตุ้นเตือนสังคมเกี่ยวกับภัยสุขภาพที่ใกล้ตัว โดยเฉพาะกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง หรือ NCDs (Non-Communicable Diseases) ซึ่งกลายเป็นวิกฤตการณ์ด้านสาธารณสุขที่ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อสังคมและเศรษฐกิจไทย การรณรงค์ในวันนี้จึงมุ่งเน้นไปที่การสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับโรคเหล่านี้ เพื่อให้ประชาชนสามารถป้องกันตนเองและคนใกล้ชิดจากภัยเงียบดังกล่าวได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ทำความรู้จักโรค NCDs: ภัยเงียบที่คุกคามชีวิต
กลุ่มโรค NCDs หรือ โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง คือกลุ่มโรคที่ไม่ได้เกิดจากเชื้อโรคและไม่สามารถแพร่กระจายจากคนสู่คนได้ แต่เป็นโรคที่เกิดจากความเสื่อมของร่างกายและพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ไม่เหมาะสมเป็นหลัก โรคในกลุ่มนี้มักมีลักษณะการดำเนินโรคอย่างค่อยเป็นค่อยไปในช่วงแรก และมักไม่แสดงอาการชัดเจน ทำให้ผู้ป่วยจำนวนมากไม่รู้ตัวว่ากำลังมีความเสี่ยงหรือป่วยเป็นโรคแล้ว ด้วยเหตุนี้ NCDs จึงถูกขนานนามว่าเป็น “ภัยเงียบ” ที่ค่อยๆ บั่นทอนสุขภาพและอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนรุนแรงจนถึงขั้นเสียชีวิตได้ในที่สุด
ข้อมูลสถานการณ์ในประเทศไทยชี้ให้เห็นถึงความรุนแรงของปัญหานี้อย่างชัดเจน โดยพบว่าโรค NCDs เป็นสาเหตุของการเสียชีวิตของคนไทยสูงถึง 73% คิดเป็นจำนวนผู้เสียชีวิตราว 400,000 คนต่อปี ที่น่ากังวลคือ มากกว่าครึ่งหนึ่งของผู้เสียชีวิตอยู่ในวัยทำงาน (อายุระหว่าง 30-70 ปี) ซึ่งเป็นการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรที่ส่งผลกระทบต่อครอบครัวและเป็นความสูญเสียทรัพยากรบุคคลของประเทศ นอกจากผลกระทบด้านสุขภาพแล้ว วิกฤต NCDs ยังสร้างภาระทางเศรษฐกิจอย่างมหาศาล โดยประเมินว่ามีมูลค่าความเสียหายสูงถึง 1.6 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 9.7% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ซึ่งสะท้อนถึงต้นทุนค่ารักษาพยาบาลและการสูญเสียผลิตภาพทางเศรษฐกิจที่ประเทศต้องแบกรับ
เจาะลึก 5 กลุ่มโรค NCDs ที่พบบ่อยในคนไทย
เพื่อสร้างความเข้าใจและตระหนักถึงความเสี่ยง การทำความรู้จักกับ 5 กลุ่มโรค NCDs ที่เป็นปัญหาหลักของคนไทยจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง
1. โรคเบาหวาน (Diabetes Mellitus)
โรคเบาหวานเป็นภาวะที่ร่างกายมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติอย่างต่อเนื่อง เกิดจากความผิดปกติของฮอร์โมนอินซูลิน ซึ่งอาจเกิดจากการที่ตับอ่อนผลิตอินซูลินได้ไม่เพียงพอ หรือร่างกายเกิดภาวะดื้อต่ออินซูลิน ทำให้ไม่สามารถนำน้ำตาลไปใช้เป็นพลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ น้ำตาลที่ค้างอยู่ในกระแสเลือดจะค่อยๆ ทำลายหลอดเลือดและอวัยวะต่างๆ ทั่วร่างกาย สัญญาณเตือนเบื้องต้นของโรคเบาหวาน ได้แก่ ปัสสาวะบ่อย กระหายน้ำบ่อย อ่อนเพลีย น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ และหากมีแผลจะหายช้ากว่าปกติ หากไม่ได้รับการควบคุมอย่างเหมาะสม โรคเบาหวานสามารถนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง เช่น โรคไตวายเรื้อรัง โรคหลอดเลือดหัวใจและสมอง ปลายประสาทเสื่อม และจอประสาทตาเสื่อมจนอาจทำให้ตาบอดได้