Shopping cart

ปลายฝนต้นหนาว! 5 โรคต้องระวัง กรมควบคุมโรคเตือน

สารบัญ

เมื่อเข้าสู่ช่วงเปลี่ยนผ่านของฤดูกาล โดยเฉพาะช่วงปลายฝนต้นหนาว! 5 โรคต้องระวัง กรมควบคุมโรคเตือนให้ประชาชนเพิ่มความใส่ใจในการดูแลสุขภาพเป็นพิเศษ เนื่องจากสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง ทั้งอุณหภูมิที่ลดลงและความชื้นในอากาศที่ยังคงสูงอยู่ ถือเป็นปัจจัยเอื้ออำนวยต่อการเจริญเติบโตและแพร่กระจายของเชื้อโรคหลายชนิด ส่งผลให้มีความเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ การทำความเข้าใจเกี่ยวกับโรคที่พบบ่อยและวิธีป้องกันจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง

สรุปประเด็นสำคัญที่ควรทราบ

  • ช่วงปลายฝนต้นหนาวมีสภาพอากาศแปรปรวน อุณหภูมิลดลงและความชื้นสูง ซึ่งเป็นสภาวะที่เหมาะสมต่อการแพร่ระบาดของเชื้อโรค
  • กรมควบคุมโรคได้ประกาศเตือน 5 กลุ่มโรคหลักที่ต้องเฝ้าระวัง ได้แก่ โรคระบบทางเดินอาหาร, โรคระบบทางเดินหายใจ, โรคที่เกิดจากยุง, โรคติดเชื้อทางผิวหนัง และโรคตาแดง
  • กลุ่มเสี่ยงที่ต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษคือเด็กเล็กและผู้สูงอายุ เนื่องจากมีภูมิคุ้มกันต่ำและอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงได้ โดยเฉพาะจากเชื้อไวรัส RSV และไข้หวัดใหญ่
  • การป้องกันโรคสามารถทำได้โดยการรักษาสุขอนามัยส่วนบุคคล รับประทานอาหารที่ปรุงสุกใหม่ ดูแลสภาพแวดล้อมให้สะอาด และหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับผู้ป่วย
  • การตระหนักรู้และปฏิบัติตามคำแนะนำของหน่วยงานสาธารณสุขเป็นกลไกสำคัญในการลดความเสี่ยงและป้องกันการระบาดในวงกว้าง

การเปลี่ยนแปลงจากฤดูฝนสู่ฤดูหนาวนำมาซึ่งความท้าทายด้านสุขภาพที่สำคัญ ข้อมูลจากกรมควบคุมโรคระบุว่าช่วงเวลานี้เป็นช่วงที่มีสถิติผู้ป่วยด้วยโรคติดเชื้อต่างๆ เพิ่มสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ปัจจัยทางสภาพอากาศ เช่น ฝนที่ยังตกต่อเนื่องทำให้เกิดน้ำท่วมขัง ความชื้นสัมพัทธ์ในอากาศสูง และอุณหภูมิที่เริ่มเย็นลง ล้วนส่งผลกระทบต่อร่างกายมนุษย์ ทำให้ภูมิคุ้มกันอ่อนแอลงและง่ายต่อการติดเชื้อ นอกจากนี้ สภาพแวดล้อมดังกล่าวยังเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ของเชื้อโรคและพาหะนำโรคชั้นดี เช่น ยุงลาย

ดังนั้น การเฝ้าระวังและให้ความรู้แก่ประชาชนจึงเป็นมาตรการสำคัญที่กรมควบคุมโรคเน้นย้ำมาโดยตลอด โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง เช่น เด็กเล็กที่มีอายุต่ำกว่า 5 ปี ซึ่งระบบภูมิคุ้มกันยังพัฒนาไม่เต็มที่ และผู้สูงอายุที่มีโรคประจำตัว การทำความเข้าใจถึงลักษณะของแต่ละกลุ่มโรค อาการที่ควรสังเกต และวิธีการป้องกันที่ถูกต้อง จะช่วยให้ทุกคนสามารถดูแลตนเองและคนในครอบครัวให้ปลอดภัยจากภัยสุขภาพที่มาพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงของฤดูกาลนี้ได้

ความสำคัญของการเฝ้าระวังโรคในช่วงเปลี่ยนฤดู

ช่วงรอยต่อระหว่างฤดูฝนและฤดูหนาว หรือที่เรียกกันว่า “ปลายฝนต้นหนาว” เป็นช่วงเวลาที่ระบบนิเวศและสภาพแวดล้อมมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว อุณหภูมิที่ลดลงอย่างกะทันหันอาจทำให้ร่างกายปรับตัวไม่ทัน ส่งผลให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ ขณะเดียวกัน ความชื้นที่สะสมมาตลอดฤดูฝนยังคงตกค้างอยู่ ทำให้เชื้อไวรัสและแบคทีเรียหลายชนิดสามารถมีชีวิตอยู่ในสิ่งแวดล้อมได้นานขึ้นและแพร่กระจายได้ง่ายกว่าปกติ

ปรากฏการณ์นี้ส่งผลให้เกิดการระบาดของโรคติดเชื้อต่างๆ ได้ง่าย โดยเฉพาะโรคที่เกี่ยวข้องกับระบบทางเดินหายใจและระบบทางเดินอาหาร บุคคลทุกเพศทุกวัยมีความเสี่ยงที่จะเจ็บป่วยได้ แต่กลุ่มที่น่าเป็นห่วงที่สุดคือเด็กเล็กและผู้สูงอายุ เนื่องจากเป็นกลุ่มที่มีความต้านทานต่อโรคต่ำ เมื่อติดเชื้อแล้วมักจะมีอาการรุนแรงและเกิดภาวะแทรกซ้อนได้ง่ายกว่าคนวัยอื่น ตัวอย่างที่ชัดเจนคือการระบาดของเชื้อไวรัส RSV ที่มักจะรุนแรงในเด็กอายุต่ำกว่า 2 ปี หรือโรคไข้หวัดใหญ่ที่อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตในผู้สูงอายุ ด้วยเหตุนี้ การเฝ้าระวังและเตรียมความพร้อมด้านสุขภาพในช่วงเวลานี้จึงไม่ใช่เพียงทางเลือก แต่เป็นความจำเป็นเพื่อลดอัตราการเจ็บป่วยและป้องกันการสูญเสียที่อาจเกิดขึ้น

เจาะลึก 5 กลุ่มโรคที่มาพร้อมกับปลายฝนต้นหนาว

เจาะลึก 5 กลุ่มโรคที่มาพร้อมกับปลายฝนต้นหนาว

กรมควบคุมโรคได้จำแนกกลุ่มโรคที่ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษในช่วงปลายฝนต้นหนาวออกเป็น 5 กลุ่มหลัก ซึ่งแต่ละกลุ่มมีสาเหตุการเกิด ลักษณะอาการ และวิธีการป้องกันที่แตกต่างกันไป ดังนี้

1. กลุ่มโรคติดต่อระบบทางเดินอาหาร

กลุ่มโรคนี้เกิดจากการบริโภคอาหารหรือน้ำดื่มที่ปนเปื้อนเชื้อโรค ซึ่งมักพบการระบาดได้ง่ายในช่วงที่มีฝนตกหรือน้ำท่วมขัง ทำให้เชื้อโรคแพร่กระจายลงสู่แหล่งน้ำและปนเปื้อนในวัตถุดิบประกอบอาหารได้ง่าย

คำจำกัดความและสาเหตุ: โรคในกลุ่มนี้เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส หรือโปรโตซัว ที่เข้าสู่ร่างกายผ่านการรับประทานอาหารที่ไม่สะอาด ปรุงไม่สุก หรือน้ำดื่มที่ปนเปื้อนอุจจาระของผู้ป่วย

ตัวอย่างโรคและอาการ:

  • โรคอุจจาระร่วงเฉียบพลัน: มีอาการถ่ายเหลวเป็นน้ำ มากกว่า 3 ครั้งต่อวัน อาจมีไข้ ปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียนร่วมด้วย
  • โรคบิด: ถ่ายอุจจาระบ่อยครั้ง มีมูกหรือเลือดปน และมีอาการปวดเบ่งที่ทวารหนัก
  • ไข้ไทฟอยด์ หรือไข้รากสาดน้อย: มีไข้สูงลอยนานหลายวัน ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัว อาจมีผื่นขึ้นตามลำตัว และเบื่ออาหาร
  • อาหารเป็นพิษ: เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วหลังรับประทานอาหารที่ปนเปื้อนสารพิษของแบคทีเรีย มีอาการเด่นคือคลื่นไส้ อาเจียน และปวดท้องอย่างรุนแรง

การป้องกัน: หลักการสำคัญคือ “กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ” ควรรับประทานอาหารที่ปรุงสุกใหม่ๆ หลีกเลี่ยงอาหารสุกๆ ดิบๆ ดื่มน้ำสะอาดหรือน้ำต้มสุก และล้างมือให้สะอาดทุกครั้งก่อนรับประทานอาหารและหลังเข้าห้องน้ำ

2. กลุ่มโรคติดเชื้อไวรัสระบบทางเดินหายใจ

เป็นกลุ่มโรคที่พบบ่อยที่สุดในช่วงอากาศเย็นและชื้น เนื่องจากเชื้อไวรัสสามารถแพร่กระจายผ่านละอองฝอยจากการไอหรือจามได้ดีในสภาพอากาศเช่นนี้

คำจำกัดความและสาเหตุ: เกิดจากการติดเชื้อไวรัสที่โจมตีระบบทางเดินหายใจ ตั้งแต่จมูก คอ ไปจนถึงปอด แพร่กระจายผ่านการหายใจเอาละอองฝอยที่มีเชื้อเข้าไป หรือผ่านการสัมผัสพื้นผิวที่ปนเปื้อนแล้วมาสัมผัสใบหน้า

ตัวอย่างโรคและอาการ:

  • โรคไข้หวัดใหญ่ (Influenza): มีอาการไข้สูงฉับพลัน ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อรุนแรง อ่อนเพลีย ไอแห้ง และเจ็บคอ
  • ไข้หวัดธรรมดา (Common Cold): อาการไม่รุนแรงเท่าไข้หวัดใหญ่ มักมีอาการเด่นที่คัดจมูก น้ำมูกไหล ไอ จาม และเจ็บคอเล็กน้อย
  • โรคปอดบวม (Pneumonia): เป็นภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง อาจเกิดตามหลังไข้หวัดใหญ่ ผู้ป่วยจะมีไข้สูง ไอมีเสมหะ หายใจหอบเหนื่อย และเจ็บหน้าอก
  • ไวรัส RSV (Respiratory Syncytial Virus): เป็นเชื้อที่อันตรายอย่างยิ่งในเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 2 ปี และผู้สูงอายุ ข้อมูลปี 2568 พบผู้ป่วยสะสมถึง 1,631 ราย โดยส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มอายุ 0-4 ปี อาการเริ่มแรกคล้ายไข้หวัดธรรมดา แต่จะรุนแรงขึ้นจนมีอาการไอหนัก หายใจมีเสียงหวีด และอาจนำไปสู่ภาวะปอดอักเสบรุนแรงได้

การป้องกัน: สวมหน้ากากอนามัยเมื่ออยู่ในที่ชุมชน ล้างมือบ่อยๆ ด้วยสบู่หรือเจลแอลกอฮอล์ หลีกเลี่ยงการใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น และพักผ่อนให้เพียงพอเพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน

3. กลุ่มโรคที่เกิดจากยุงเป็นพาหะ

ช่วงปลายฝนยังคงมีฝนตกและน้ำท่วมขังในหลายพื้นที่ ซึ่งเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายอย่างดี ทำให้ความเสี่ยงของโรคไข้เลือดออกยังคงสูงอยู่

น้ำขังเพียงเล็กน้อยในภาชนะต่างๆ รอบบ้าน ก็สามารถกลายเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย ซึ่งเป็นพาหะของโรคไข้เลือดออกได้อย่างมหาศาล

คำจำกัดความและสาเหตุ: เกิดจากเชื้อไวรัสเดงกี (Dengue virus) โดยมียุงลายเป็นพาหะนำเชื้อจากผู้ป่วยคนหนึ่งไปยังอีกคนหนึ่งผ่านการกัด

ตัวอย่างโรคและอาการ:

  • โรคไข้เลือดออก: อาการสำคัญคือมีไข้สูงลอย 2-7 วัน ปวดศีรษะอย่างรุนแรง ปวดกระบอกตา ปวดเมื่อยตามตัว มีจุดเลือดออกตามผิวหนัง และอาจมีอาการเลือดออกผิดปกติ เช่น เลือดกำเดาไหล หรืออาเจียนเป็นเลือด หากมีอาการรุนแรงอาจเกิดภาวะช็อกและเสียชีวิตได้

การป้องกัน: มาตรการสำคัญคือการกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย โดยใช้หลัก “3 เก็บ ป้องกัน 3 โรค” คือ เก็บบ้านให้สะอาด, เก็บขยะเศษภาชนะไม่ให้เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ยุง, และเก็บน้ำ ปิดฝาภาชนะให้มิดชิด นอกจากนี้ควรป้องกันตนเองไม่ให้ยุงกัดโดยการนอนในมุ้งหรือทายากันยุง

4. กลุ่มโรคติดเชื้อผ่านบาดแผลหรือเยื่อบุผิวหนัง

ความชื้นสูงและน้ำท่วมขังเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคติดเชื้อทางผิวหนังได้ง่าย โดยเฉพาะผู้ที่มีบาดแผลหรือต้องเดินลุยน้ำอยู่เป็นประจำ

คำจำกัดความและสาเหตุ: เกิดจากเชื้อโรคที่อยู่ในดิน น้ำ หรือสิ่งแวดล้อมที่ชื้นแฉะ เข้าสู่ร่างกายผ่านทางบาดแผล รอยถลอก หรือเยื่อบุผิวหนังที่อ่อนนุ่ม

ความเสี่ยงและอาการ: ผู้ที่เดินลุยน้ำหรือทำงานในพื้นที่ชื้นแฉะมีความเสี่ยงสูง อาจเกิดการติดเชื้อแบคทีเรียที่บาดแผล ทำให้แผลอักเสบ บวม แดง เป็นหนอง หรืออาจเกิดโรคฉี่หนู (Leptospirosis) ซึ่งมีอาการไข้สูง ปวดกล้ามเนื้ออย่างรุนแรง และอาจมีภาวะแทรกซ้อนที่ตับและไตได้

การป้องกัน: หลีกเลี่ยงการเดินลุยน้ำโดยไม่จำเป็น หากจำเป็นควรสวมรองเท้าบูทเพื่อป้องกันผิวหนังสัมผัสน้ำโดยตรง หลังขึ้นจากน้ำควรรีบทำความสะอาดร่างกายด้วยสบู่และเช็ดให้แห้งทันที หากมีบาดแผลควรทำความสะอาดแผลและปิดพลาสเตอร์กันน้ำ

5. กลุ่มโรคติดเชื้อเยื่อบุตา (โรคตาแดง)

เป็นโรคที่ติดต่อกันได้ง่ายมากผ่านการสัมผัส และมักระบาดในช่วงที่อากาศชื้น ซึ่งเชื้อโรคสามารถอยู่บนพื้นผิวต่างๆ ได้นานขึ้น

คำจำกัดความและสาเหตุ: เกิดจากการอักเสบของเยื่อบุตาขาว ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรีย ติดต่อผ่านการสัมผัสน้ำตาหรือขี้ตาของผู้ป่วยโดยตรง หรือผ่านของใช้ส่วนตัว เช่น ผ้าเช็ดหน้า

อาการ: ตาแดง ระคายเคืองตาเหมือนมีทรายเข้าตา น้ำตาไหลมาก มีขี้ตามากกว่าปกติ และอาจมีอาการแพ้แสงร่วมด้วย

การป้องกัน: ล้างมือให้สะอาดอยู่เสมอ ไม่ใช้มือขยี้ตา หลีกเลี่ยงการใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น เช่น ผ้าเช็ดตัว แว่นตา หากมีอาการควรหยุดเรียนหรือหยุดงานเพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ และไปพบแพทย์เพื่อรับการรักษาที่ถูกต้อง

เปรียบเทียบอาการและการป้องกันโรคสำคัญ

เพื่อให้เห็นภาพความแตกต่างของโรคที่พบบ่อยในช่วงปลายฝนต้นหนาวได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ตารางด้านล่างนี้ได้สรุปข้อมูลเปรียบเทียบระหว่างโรคไข้หวัดใหญ่ ไข้เลือดออก และโรคอุจจาระร่วงเฉียบพลัน

ตารางเปรียบเทียบโรคที่ต้องเฝ้าระวังในช่วงปลายฝนต้นหนาว
ประเด็น ไข้หวัดใหญ่ ไข้เลือดออก อุจจาระร่วงเฉียบพลัน
สาเหตุหลัก เชื้อไวรัสอินฟลูเอนซา (Influenza virus) เชื้อไวรัสเดงกี (Dengue virus) เชื้อแบคทีเรีย, ไวรัส, หรือโปรโตซัว
การติดต่อ ผ่านละอองฝอยจากการไอ จาม หรือสัมผัสเชื้อ ยุงลายเป็นพาหะนำโรค รับประทานอาหารหรือน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อ
อาการเด่น ไข้สูงฉับพลัน, ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อรุนแรง, ไอแห้ง ไข้สูงลอย, ปวดศีรษะ, ปวดกระบอกตา, มีจุดเลือดออก ถ่ายเหลวเป็นน้ำ, ปวดท้อง, อาจมีไข้และอาเจียน
สัญญาณอันตราย หอบเหนื่อย, หายใจลำบาก, เจ็บหน้าอก (ปอดบวม) ซึมลง, กระสับกระส่าย, ปวดท้องรุนแรง, เลือดออกผิดปกติ (ภาวะช็อก) ถ่ายเป็นมูกเลือด, อ่อนเพลียมาก, ขาดน้ำรุนแรง
วิธีป้องกัน ฉีดวัคซีนป้องกัน, สวมหน้ากาก, ล้างมือบ่อยๆ กำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย, ป้องกันยุงกัด กินร้อน, ช้อนกลาง, ล้างมือ, ดื่มน้ำสะอาด

คำแนะนำเชิงป้องกันจากกรมควบคุมโรค

เพื่อลดความเสี่ยงจากการเจ็บป่วยในช่วงปลายฝนต้นหนาว กรมควบคุมโรคได้ออกคำแนะนำให้ประชาชนปฏิบัติตามหลักการดูแลสุขภาพขั้นพื้นฐานอย่างเคร่งครัด ดังนี้:

  1. รักษาร่างกายให้อบอุ่นเสมอ: สวมใส่เสื้อผ้าที่มีความหนาเพียงพอ โดยเฉพาะในช่วงเช้าและกลางคืนที่มีอากาศเย็น เพื่อป้องกันร่างกายสูญเสียความร้อนและทำให้ภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง
  2. ดูแลสุขอนามัยส่วนบุคคล: ล้างมือด้วยสบู่และน้ำสะอาดให้เป็นนิสัย โดยเฉพาะก่อนรับประทานอาหาร หลังเข้าห้องน้ำ และหลังจากสัมผัสสิ่งของในที่สาธารณะ การใช้หน้ากากอนามัยยังคงเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันโรคระบบทางเดินหายใจ
  3. รับประทานอาหารที่ถูกสุขลักษณะ: เลือกรับประทานอาหารที่ปรุงสุกใหม่ๆ หลีกเลี่ยงอาหารรสจัดและอาหารหมักดองที่อาจทำให้ท้องเสียได้ง่าย ดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอตลอดทั้งวัน
  4. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ: การออกกำลังกายอย่างน้อย 30 นาทีต่อวัน 3-5 วันต่อสัปดาห์ จะช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของร่างกายและกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันให้ทำงานได้ดีขึ้น
  5. พักผ่อนให้เพียงพอ: การนอนหลับอย่างน้อย 7-8 ชั่วโมงต่อคืน เป็นสิ่งจำเป็นต่อการฟื้นฟูร่างกายและเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน
  6. จัดการสภาพแวดล้อม: ดูแลทำความสะอาดบ้านเรือนและบริเวณโดยรอบให้สะอาด โปร่งโล่ง กำจัดแหล่งน้ำขังเพื่อตัดวงจรชีวิตของยุงลาย
  7. สังเกตอาการตนเองและคนในครอบครัว: หากมีอาการผิดปกติ เช่น มีไข้สูง ไอต่อเนื่อง หรือท้องเสียรุนแรง ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและการรักษาที่ถูกต้อง ไม่ควรซื้อยามารับประทานเอง

บทสรุป: เตรียมพร้อมรับมือเพื่อสุขภาพที่ดี

ช่วงปลายฝนต้นหนาวเป็นช่วงเวลาที่สภาพอากาศเปลี่ยนแปลงและมีความเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยสูง การตระหนักถึง 5 กลุ่มโรคที่กรมควบคุมโรคได้เตือนไว้ ถือเป็นก้าวแรกที่สำคัญในการป้องกันสุขภาพของตนเองและคนรอบข้าง โรคติดต่อทางระบบทางเดินอาหาร, ระบบทางเดินหายใจ, โรคจากยุงเป็นพาหะ, โรคติดเชื้อทางผิวหนัง และโรคตาแดง ล้วนเป็นภัยสุขภาพที่สามารถป้องกันได้ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและใส่ใจสุขอนามัยมากขึ้น

การปฏิบัติตามคำแนะนำด้านสาธารณสุข เช่น การรักษาร่างกายให้อบอุ่น การรับประทานอาหารที่สะอาด การล้างมือบ่อยๆ และการดูแลสภาพแวดล้อมให้ถูกสุขลักษณะ เป็นหัวใจสำคัญของการมีสุขภาพดีในช่วงเปลี่ยนฤดู โดยเฉพาะการดูแลเด็กเล็กและผู้สูงอายุซึ่งเป็นกลุ่มเสี่ยงต้องทำอย่างใกล้ชิด การเตรียมความพร้อมและเฝ้าระวังอย่างไม่ประมาท จะช่วยให้ทุกคนสามารถผ่านพ้นช่วงเวลานี้ไปได้อย่างปลอดภัยและมีสุขภาพแข็งแรง

กันยายน 2025
จ. อ. พ. พฤ. ศ. ส. อา.
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
2930