Shopping cart

ไข้เลือดออกระบาดหนัก! 7 อาการต้องสงสัย รีบพบแพทย์ด่วน

สารบัญ

สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคไข้เลือดออกยังคงเป็นปัญหาด้านสาธารณสุขที่สำคัญ โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝนที่เอื้อต่อการขยายพันธุ์ของยุงลาย พาหะนำโรค การตระหนักรู้ถึงอาการของโรคจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง

  • ไข้สูงลอยที่ไม่ลดลงง่ายๆ เป็นสัญญาณแรกที่ต้องสงสัย
  • อาการปวดศีรษะรุนแรง โดยเฉพาะบริเวณกระบอกตา เป็นลักษณะเด่นของโรค
  • การปรากฏของจ้ำเลือดตามผิวหนังหรือภาวะเลือดออกผิดปกติ เป็นสัญญาณอันตราย
  • ภาวะช็อก เช่น ตัวเย็น มือเท้าเย็น ชีพจรเบาเร็ว เป็นภาวะวิกฤตที่ต้องถึงมือแพทย์โดยด่วน
  • การป้องกันที่ดีที่สุดคือการทำลายแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายและป้องกันตนเองไม่ให้ยุงกัด

ภาพรวมสถานการณ์ไข้เลือดออก

เมื่อเข้าสู่ปี 2568 สถานการณ์ไข้เลือดออกระบาดหนัก! 7 อาการต้องสงสัย รีบพบแพทย์ด่วน กลายเป็นประเด็นที่ต้องให้ความสำคัญสูงสุด โรคไข้เลือดออกเป็นโรคติดเชื้อที่เกิดจากไวรัสเดงกี โดยมียุงลายเป็นพาหะนำโรคที่สำคัญ การระบาดมักทวีความรุนแรงในช่วงฤดูฝน ซึ่งเป็นช่วงที่ยุงลายสามารถแพร่พันธุ์ได้อย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม โรคนี้สามารถพบได้ตลอดทั้งปีในประเทศเขตร้อนชื้น การทำความเข้าใจอาการเบื้องต้นจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากอาการในระยะแรกอาจคล้ายคลึงกับไข้หวัดทั่วไป ทำให้เกิดความชะล่าใจและอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงถึงชีวิตได้หากไม่ได้รับการวินิจฉัยและการรักษาที่ทันท่วงที

ความท้าทายของโรคไข้เลือดออกคือการที่อาการแสดงมีความหลากหลาย ตั้งแต่ไม่มีอาการเลย ไปจนถึงอาการรุนแรงที่เรียกว่า “ภาวะช็อก” การตระหนักถึงสัญญาณเตือนภัยที่เฉพาะเจาะจงของโรคจึงเป็นเครื่องมือสำคัญในการป้องกันความสูญเสีย ข้อมูลจากกรมควบคุมโรคได้เน้นย้ำถึงความจำเป็นในการเฝ้าระวังและสังเกตอาการอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยง เช่น เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ หรือผู้ที่มีโรคประจำตัว ซึ่งมีแนวโน้มที่จะเกิดอาการรุนแรงได้มากกว่าคนทั่วไป ดังนั้น การมีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับโรคนี้จึงเป็นเกราะป้องกันที่ดีที่สุดสำหรับทุกคนในครอบครัวและชุมชน

ทำความเข้าใจโรคไข้เลือดออก

โรคไข้เลือดออก หรือ Dengue Fever เป็นโรคติดเชื้อไวรัสที่พบได้บ่อยในประเทศแถบโซนร้อนและเป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญในประเทศไทย การเข้าใจถึงต้นตอและกลไกของโรคจะช่วยให้สามารถรับมือและป้องกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ

สาเหตุและพาหะนำโรค

โรคไข้เลือดออกเกิดจากการติดเชื้อไวรัสเดงกี (Dengue Virus) ซึ่งมีทั้งหมด 4 สายพันธุ์ (Serotypes) ได้แก่ DENV-1, DENV-2, DENV-3 และ DENV-4 การติดเชื้อสายพันธุ์หนึ่งจะสร้างภูมิคุ้มกันต่อสายพันธุ์นั้นไปตลอดชีวิต แต่จะสร้างภูมิคุ้มกันต่อสายพันธุ์อื่นเพียงชั่วคราวเท่านั้น ที่สำคัญคือ การติดเชื้อครั้งที่สองด้วยสายพันธุ์ที่แตกต่างจากครั้งแรก อาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดอาการรุนแรงของโรคได้

เชื้อไวรัสนี้แพร่สู่คนผ่านการกัดของยุงลายเพศเมีย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ยุงลายบ้าน (Aedes aegypti) ซึ่งเป็นพาหะหลัก ยุงชนิดนี้มักออกหากินในเวลากลางวัน และมีแหล่งเพาะพันธุ์ตามภาชนะที่มีน้ำใสและนิ่งขังอยู่บริเวณรอบบ้าน เช่น จานรองกระถางต้นไม้ ยางรถยนต์เก่า หรือโอ่งน้ำที่ไม่มีฝาปิดสนิท การควบคุมและกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายจึงเป็นหัวใจสำคัญของการป้องกันการระบาด

ระยะของโรคที่ต้องเฝ้าระวัง

โรคไข้เลือดออก โดยทั่วไปแบ่งออกเป็น 3 ระยะ ซึ่งการดำเนินของโรคในแต่ละระยะมีความสำคัญต่อการดูแลรักษาผู้ป่วยอย่างมาก:

  1. ระยะไข้ (Febrile Phase): เป็นระยะแรกที่ผู้ป่วยจะมีไข้สูงเฉียบพลัน อุณหภูมิอาจสูงถึง 39-40 องศาเซลเซียส และไข้มักจะสูงลอยต่อเนื่องเป็นเวลา 2-7 วัน ร่วมกับอาการอื่น ๆ เช่น ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ ปวดกระดูก และอาจมีผื่นขึ้นตามตัว ในระยะนี้อาการจะคล้ายไข้หวัดใหญ่มาก
  2. ระยะวิกฤต (Critical Phase): เป็นระยะที่อันตรายที่สุด มักเกิดขึ้นประมาณวันที่ 3-7 ของการมีไข้ ในช่วงนี้ไข้จะเริ่มลดลง แต่เป็นช่วงที่ต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิดที่สุด เพราะอาจเกิดภาวะน้ำเหลืองรั่วออกจากเส้นเลือด (Plasma Leakage) ทำให้ความดันโลหิตต่ำ และอาจนำไปสู่ “ภาวะช็อก” ได้ สัญญาณเตือนของระยะนี้คืออาการปวดท้องรุนแรง อาเจียนต่อเนื่อง มีเลือดออกผิดปกติ และผู้ป่วยอาจมีอาการซึมลงหรือกระสับกระส่าย
  3. ระยะฟื้นตัว (Recovery Phase): หากผู้ป่วยผ่านระยะวิกฤตมาได้ อาการโดยรวมจะเริ่มดีขึ้นอย่างรวดเร็ว ร่างกายจะเริ่มดูดซึมน้ำเหลืองที่รั่วออกไปกลับเข้าสู่เส้นเลือด ชีพจรจะเต้นช้าลง ความดันโลหิตกลับมาคงที่ และผู้ป่วยจะเริ่มอยากอาหารมากขึ้น อาจพบผื่นแดงที่มีวงขาว ๆ ตามร่างกายในช่วงนี้ ซึ่งเป็นสัญญาณของการหายดี

7 สัญญาณเตือนอาการไข้เลือดออกที่ต้องพบแพทย์ทันที

7 สัญญาณเตือนอาการไข้เลือดออกที่ต้องพบแพทย์ทันที

การแยกแยะอาการของไข้เลือดออกจากโรคไข้ทั่วไปเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งเพื่อเข้ารับการรักษาได้ทันท่วงที หากพบอาการต้องสงสัยดังต่อไปนี้ ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อทำการวินิจฉัยโดยด่วน

1. ไข้สูงลอยอย่างต่อเนื่อง

ลักษณะเด่นที่สุดของไข้เลือดออกคือ “ไข้สูงลอย” ซึ่งหมายถึงการมีไข้สูงเฉียบพลัน อุณหภูมิร่างกายอาจสูงถึง 39-40 องศาเซลเซียส และไข้มักจะไม่ลดลงสู่ระดับปกติแม้จะรับประทานยาลดไข้กลุ่มพาราเซตามอลแล้วก็ตาม ไข้จะคงอยู่สูงต่อเนื่องเป็นเวลา 2-7 วัน ซึ่งแตกต่างจากไข้หวัดทั่วไปที่มักจะตอบสนองต่อยาลดไข้ได้ดีกว่า

ข้อควรระวังที่สำคัญที่สุดคือ ห้ามรับประทานยาลดไข้กลุ่มแอสไพริน (Aspirin) หรือไอบูโพรเฟน (Ibuprofen) โดยเด็ดขาด เนื่องจากยาเหล่านี้มีฤทธิ์ต้านการเกาะกลุ่มของเกล็ดเลือด อาจทำให้เกิดภาวะเลือดออกผิดปกติและทำให้อาการของโรครุนแรงขึ้นได้

2. ปวดศีรษะและปวดกระบอกตาอย่างรุนแรง

ผู้ป่วยไข้เลือดออกมักมีอาการปวดศีรษะอย่างรุนแรง โดยเฉพาะบริเวณหน้าผากและขมับ ร่วมกับอาการปวดลึกเข้าไปในกระบอกตา (Retro-orbital pain) ซึ่งเป็นอาการที่ค่อนข้างเฉพาะเจาะจง อาการปวดนี้จะรุนแรงขึ้นเมื่อมีการกรอกตาไปมา และเป็นหนึ่งในอาการที่ช่วยให้แพทย์สงสัยโรคไข้เลือดออกได้ตั้งแต่ระยะแรก ๆ

3. คลื่นไส้, อาเจียน และเบื่ออาหาร

อาการทางระบบทางเดินอาหารเป็นอาการที่พบได้บ่อย ผู้ป่วยจะรู้สึกคลื่นไส้ เบื่ออาหารอย่างเห็นได้ชัด และอาจมีอาการอาเจียนร่วมด้วย การอาเจียนอย่างต่อเนื่องเป็นสัญญาณที่ไม่ดี เพราะจะทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำและเกลือแร่ นำไปสู่ภาวะขาดน้ำ ซึ่งจะยิ่งซ้ำเติมความรุนแรงของโรค โดยเฉพาะเมื่อเข้าสู่ระยะวิกฤต

4. ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ข้อ และกระดูก

โรคไข้เลือดออกมีชื่อเรียกอีกอย่างว่า “Breakbone Fever” ซึ่งสะท้อนถึงอาการปวดเมื่อยตามร่างกายที่รุนแรง ผู้ป่วยจะรู้สึกปวดลึกไปถึงกระดูก ปวดตามกล้ามเนื้อและข้อต่อทั่วร่างกาย ทำให้อ่อนเพลียและเคลื่อนไหวลำบาก อาการปวดนี้มักจะรุนแรงกว่าไข้หวัดทั่วไปอย่างมาก

5. พบผื่น, จ้ำเลือด หรือมีเลือดออกผิดปกติ

เมื่อเข้าสู่ช่วงวันที่ 3-5 ของโรค อาจพบผื่นแดงขึ้นตามลำตัว แขน ขา ซึ่งอาจมีอาการคันร่วมด้วย อย่างไรก็ตาม สัญญาณที่น่ากังวลกว่าคือภาวะเลือดออกผิดปกติ ซึ่งเป็นผลมาจากเกล็ดเลือดต่ำและการทำงานของเส้นเลือดที่ผิดปกติ ผู้ป่วยอาจพบจุดเลือดออกเล็ก ๆ หรือจ้ำเลือด (Petechiae) ตามผิวหนัง โดยเฉพาะบริเวณแขน ขา และลำตัว นอกจากนี้อาจมีเลือดกำเดาไหล เลือดออกตามไรฟัน หรือในผู้หญิงอาจมีประจำเดือนมามากกว่าปกติ อาการเหล่านี้เป็นสัญญาณเตือนว่าโรคกำลังเข้าสู่ระยะที่อาจมีความรุนแรงขึ้น

6. ปวดท้องรุนแรงบริเวณใต้ชายโครงขวา

อาการปวดท้องเป็นสัญญาณอันตรายที่บ่งชี้ว่าผู้ป่วยอาจกำลังเข้าสู่ระยะวิกฤต โดยเฉพาะอาการปวดบริเวณใต้ชายโครงขวา ซึ่งเป็นตำแหน่งของตับ ตับอาจมีขนาดโตขึ้นและกดเจ็บ เนื่องจากภาวะน้ำเหลืองรั่วซึมออกจากเส้นเลือด หากมีอาการปวดท้องรุนแรงร่วมกับอาการอาเจียนไม่หยุด ควรรีบนำผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลทันที เพราะอาจเป็นอาการนำของภาวะช็อก

7. ซึม, กระสับกระส่าย และสัญญาณของภาวะช็อก

นี่คือสัญญาณอันตรายที่สุดของโรคไข้เลือดออก ซึ่งบ่งบอกถึงภาวะช็อกจากไข้เลือดออก (Dengue Shock Syndrome) ผู้ป่วย (โดยเฉพาะเด็ก) อาจมีอาการเปลี่ยนแปลงทางพฤติกรรม จากที่เคยร้องไห้งอแงอาจซึมลงอย่างรวดเร็ว หรือในบางรายอาจดูกระสับกระส่าย อยู่ไม่นิ่ง ร่วมกับสัญญาณของภาวะไหลเวียนโลหิตล้มเหลว เช่น มือเท้าเย็นเฉียบ ตัวเย็นแต่มีเหงื่อออก ปัสสาวะออกน้อยลงมากหรือไม่ออกเลย และชีพจรเต้นเบาเร็ว หากพบอาการเหล่านี้ ต้องนำส่งโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดโดยด่วนที่สุด เพราะเป็นภาวะฉุกเฉินที่คุกคามถึงชีวิต

เปรียบเทียบอาการไข้เลือดออก กับ ไข้หวัดใหญ่

ในระยะแรก อาการของไข้เลือดออกและไข้หวัดใหญ่อาจมีความคล้ายคลึงกันมาก ทำให้เกิดความสับสนได้ง่าย ตารางด้านล่างนี้จะช่วยเปรียบเทียบความแตกต่างของอาการสำคัญเพื่อช่วยในการสังเกตเบื้องต้น

ตารางเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างอาการไข้เลือดออกและไข้หวัดใหญ่
อาการ โรคไข้เลือดออก โรคไข้หวัดใหญ่
ไข้ ไข้สูงลอย 39-40°C ต่อเนื่อง ไม่ค่อยตอบสนองต่อยาลดไข้ ไข้สูง แต่อาจตอบสนองต่อยาลดไข้ได้ดีกว่า
อาการปวด ปวดศีรษะรุนแรง ปวดกระบอกตาชัดเจน ปวดกล้ามเนื้อและกระดูกมาก ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัว แต่ไม่ค่อยพบอาการปวดกระบอกตาที่เด่นชัด
อาการระบบทางเดินหายใจ ไม่ค่อยพบอาการไอ น้ำมูก หรือเจ็บคอ มักมีอาการเด่นชัด เช่น ไอแห้ง ๆ เจ็บคอ มีน้ำมูก คัดจมูก
ผื่นและเลือดออก อาจพบผื่นแดง จ้ำเลือด หรือมีเลือดออกตามไรฟัน/เลือดกำเดาไหล พบได้น้อยมากหรือไม่พบเลย
อาการทางเดินอาหาร คลื่นไส้ อาเจียน และเบื่ออาหารเป็นอาการเด่น อาจพบได้บ้าง แต่ไม่เด่นชัดเท่าไข้เลือดออก
ระยะวิกฤต มีระยะวิกฤตที่ไข้ลดลง แต่ผู้ป่วยอาจทรุดลงและเกิดภาวะช็อกได้ ไม่มีระยะวิกฤตแบบไข้เลือดออก แต่อาจมีภาวะแทรกซ้อนที่ปอด

กลุ่มเสี่ยงและภาวะแทรกซ้อนที่ต้องระวัง

แม้ว่าทุกคนจะสามารถติดเชื้อไข้เลือดออกได้ แต่มีประชากรบางกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดอาการรุนแรงและภาวะแทรกซ้อนที่เป็นอันตรายถึงชีวิตได้

ใครบ้างที่เสี่ยงอาการรุนแรงเป็นพิเศษ

  • เด็กเล็กอายุต่ำกว่า 5 ปี: โดยเฉพาะทารก เนื่องจากระบบภูมิคุ้มกันยังพัฒนาไม่เต็มที่ และการสังเกตอาการเปลี่ยนแปลงทำได้ยาก
  • ผู้สูงอายุ: มักมีโรคประจำตัวร่วมด้วย และร่างกายอาจตอบสนองต่อการติดเชื้อได้ไม่ดีเท่าคนหนุ่มสาว
  • ผู้ที่มีโรคประจำตัว: เช่น โรคเบาหวาน, ความดันโลหิตสูง, โรคหัวใจ, โรคอ้วน หรือผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง โรคประจำตัวเหล่านี้ทำให้ร่างกายอ่อนแอและเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนได้ง่าย
  • ผู้ที่เคยติดเชื้อไข้เลือดออกมาก่อน: การติดเชื้อครั้งที่สองด้วยไวรัสเดงกีคนละสายพันธุ์ เพิ่มความเสี่ยงของการเกิดโรคไข้เลือดออกชนิดรุนแรง (Dengue Hemorrhagic Fever)

ภาวะแทรกซ้อนอันตราย: Dengue Shock Syndrome

ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงและอันตรายที่สุดของโรคไข้เลือดออกคือ ภาวะช็อกจากไข้เลือดออก (Dengue Shock Syndrome หรือ DSS) ซึ่งเกิดจากการรั่วไหลของพลาสมาหรือน้ำเหลืองออกจากหลอดเลือดในปริมาณมาก ทำให้ปริมาณเลือดที่ไหลเวียนในร่างกายลดลงอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ความดันโลหิตตก อวัยวะสำคัญ เช่น สมอง หัวใจ ไต ขาดเลือดไปเลี้ยง และอาจเข้าสู่ภาวะล้มเหลวได้ในที่สุด หากไม่ได้รับการรักษาด้วยการให้สารน้ำทางหลอดเลือดอย่างทันท่วงที อาจทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตได้ภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง

แนวทางการป้องกันโรคไข้เลือดออก

เนื่องจากยังไม่มียาต้านไวรัสสำหรับรักษาโรคไข้เลือดออกโดยตรง การป้องกันจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการลดความเสี่ยงจากการติดเชื้อ ซึ่งสามารถทำได้สองแนวทางหลักคือ การกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย และการป้องกันตนเองไม่ให้ถูกยุงกัด

การกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย

การควบคุมพาหะนำโรคเป็นหัวใจสำคัญของการป้องกัน การมีส่วนร่วมของชุมชนในการสำรวจและทำลายแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายรอบบ้านและในชุมชนอย่างสม่ำเสมอ โดยใช้หลัก “5ป.” ของกระทรวงสาธารณสุข:

  • ปิด: ปิดฝาภาชนะเก็บน้ำ เช่น โอ่ง ตุ่มน้ำ ให้มิดชิด เพื่อป้องกันยุงลายลงไปวางไข่
  • เปลี่ยน: เปลี่ยนน้ำในภาชนะเล็ก ๆ เช่น แจกันดอกไม้ จานรองกระถางต้นไม้ ทุก 7 วัน
  • ปล่อย: ปล่อยปลากินลูกน้ำ เช่น ปลาหางนกยูง ในอ่างบัวหรือภาชนะกักเก็บน้ำที่ไม่สามารถปิดฝาได้
  • ปรับปรุง: ปรับปรุงสิ่งแวดล้อมให้ปลอดโปร่ง โล่ง สะอาด ไม่เป็นที่เกาะพักของยุงลาย และจัดการเศษขยะที่อาจมีน้ำขัง เช่น ยางรถยนต์เก่า กระป๋อง
  • ปฏิบัติ: ปฏิบัติตามมาตรการข้างต้นอย่างสม่ำเสมอจนเป็นนิสัย

การป้องกันตนเองจากการถูกยุงกัด

นอกจากการควบคุมแหล่งเพาะพันธุ์แล้ว การป้องกันส่วนบุคคลก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน โดยเฉพาะเมื่อต้องอยู่ในพื้นที่ที่มีการระบาด:

  • การสวมใส่เสื้อผ้า: สวมเสื้อแขนยาวและกางเกงขายาวเพื่อลดพื้นที่ผิวหนังที่ยุงจะกัดได้ ควรเลือกเสื้อผ้าสีอ่อน เพราะสีเข้มจะดึงดูดยุงได้ดีกว่า
  • การใช้สารไล่ยุง: ทาสารไล่ยุงที่มีส่วนประกอบของ DEET, Icaridin หรือน้ำมันยูคาลิปตัส ตามบริเวณผิวหนังนอกร่มผ้า
  • การนอนในมุ้ง: โดยเฉพาะในเวลากลางวัน ซึ่งเป็นช่วงที่ยุงลายออกหากิน
  • การติดตั้งมุ้งลวด: ติดตั้งมุ้งลวดที่หน้าต่างและประตูเพื่อป้องกันยุงเข้ามาในบ้าน

สรุป: การสังเกตอาการคือกุญแจสำคัญ

สถานการณ์ไข้เลือดออกระบาดหนักในปี 2568 ตอกย้ำถึงความจำเป็นในการเฝ้าระวังและให้ความสำคัญกับโรคนี้อย่างจริงจัง แม้ว่าอาการในระยะแรกอาจทำให้สับสนกับโรคไข้หวัดทั่วไป แต่ 7 อาการต้องสงสัยที่กล่าวมาทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นไข้สูงลอยที่ไม่ลด, ปวดกระบอกตารุนแรง, คลื่นไส้อาเจียน, ผื่นหรือจ้ำเลือด, และโดยเฉพาะอย่างยิ่งอาการปวดท้องรุนแรงหรือสัญญาณของภาวะช็อก ล้วนเป็นสัญญาณเตือนที่ชัดเจนและไม่อาจเพิกเฉยได้ การตระหนักรู้ถึงอาการเหล่านี้และรีบไปพบแพทย์โดยด่วน คือกุญแจสำคัญที่จะช่วยลดความรุนแรงของโรคและป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเป็นอันตรายถึงชีวิต

การป้องกันโรคไข้เลือดออกเป็นความรับผิดชอบร่วมกันของทุกคนในสังคม การดูแลสภาพแวดล้อมรอบตัวให้ปราศจากแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย ควบคู่ไปกับการป้องกันตนเองจากการถูกยุงกัด จะช่วยตัดวงจรการแพร่ระบาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากมีอา

สั่งเสื้อ

ตุลาคม 2025
จ. อ. พ. พฤ. ศ. ส. อา.
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031