ททท. ชู 5 จังหวัดเมืองรองบูมไฮซีซั่นปลายปี 2568
การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ได้เปิดเผยแผนกลยุทธ์สำคัญเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจการท่องเที่ยวในช่วงไฮซีซั่น ซึ่งเป็นช่วงเวลาสำคัญปลายปี 2568 ต่อเนื่องถึงต้นปี 2569 โดยมีหัวใจหลักคือการผลักดันจังหวัดเมืองรองให้เป็นจุดหมายปลายทางหลักของนักท่องเที่ยว แผนการดังกล่าวไม่เพียงแต่มุ่งเน้นการสร้างรายได้ แต่ยังเป็นการปรับภาพลักษณ์และกระจายนักท่องเที่ยวไปยังพื้นที่ใหม่ๆ เพื่อสร้างความยั่งยืนให้กับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศ
- การปรับโฉมเมืองรอง: ททท. ได้เปลี่ยนการเรียกชื่อจาก “เมืองรอง” เป็น “เมืองน่าเที่ยว” เพื่อสร้างภาพลักษณ์เชิงบวกและดึงดูดความสนใจจากนักท่องเที่ยวมากขึ้น
- เป้าหมายทางเศรษฐกิจ: ตั้งเป้าสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวรวมกว่า 1.17 ล้านล้านบาท และดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติให้เดินทางมากกว่า 205 ล้านคน-ครั้ง
- แคมเปญเจาะกลุ่ม: เปิดตัว 12 แคมเปญท่องเที่ยวที่อิงตามวัฒนธรรมย่อย (Sub-Culture) เพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์และความสนใจที่หลากหลายของนักท่องเที่ยวยุคใหม่
- การสนับสนุนจากภาครัฐ: ผนึกกำลังกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล เช่น โครงการเราเที่ยวด้วยกัน เพื่อเพิ่มแรงจูงใจในการเดินทางและใช้จ่ายในเมืองน่าเที่ยว
- บทบาทผู้นำท้องถิ่น: ส่งเสริมให้ผู้ว่าราชการจังหวัดทำหน้าที่เป็น “CEO” ในการบริหารจัดการและขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การท่องเที่ยวของจังหวัดตนเองอย่างเต็มศักยภาพ
แผนการที่ ททท. ชู 5 จังหวัดเมืองรองบูมไฮซีซั่นปลายปี 2568 ถือเป็นยุทธศาสตร์เชิงรุกที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการฟื้นฟูและขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ การดำเนินการนี้มีเป้าหมายเพื่อกระจายรายได้จากการท่องเที่ยวไม่ให้กระจุกตัวอยู่เพียงในเมืองหลัก แต่ให้กระจายไปสู่ชุมชนท้องถิ่นใน 55 จังหวัดที่ถูกจัดให้เป็น “เมืองน่าเที่ยว” การส่งเสริมการท่องเที่ยวในช่วงไฮซีซั่น ซึ่งเป็นช่วงที่มีนักท่องเที่ยวเดินทางสูงสุด จะช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายและสร้างบรรยากาศการท่องเที่ยวให้คึกคักทั่วทุกภูมิภาคของประเทศไทย
ภาพรวมกลยุทธ์ส่งเสริมการท่องเที่ยวเมืองรองปลายปี 2568
ในช่วงปลายปี 2568 ซึ่งเป็นฤดูการท่องเที่ยวหรือไฮซีซั่น การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยได้วางแผนกลยุทธ์เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศอย่างเข้มข้น โดยเฉพาะในกลุ่มจังหวัดเมืองรอง ซึ่งปัจจุบันได้รับการปรับภาพลักษณ์ใหม่ในชื่อ “เมืองน่าเที่ยว” กลยุทธ์นี้ถูกออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ความท้าทายของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในปัจจุบัน ที่ต้องการการกระจายตัวของนักท่องเที่ยวและรายได้ไปสู่พื้นที่ที่มีศักยภาพแต่ยังไม่เป็นที่รู้จักในวงกว้าง
ความสำคัญของแผนการนี้อยู่ที่การสร้างสมดุลให้กับการท่องเที่ยวไทย ลดความแออัดในเมืองท่องเที่ยวหลัก เช่น กรุงเทพฯ ภูเก็ต หรือเชียงใหม่ และในขณะเดียวกันก็เป็นการเปิดโอกาสให้เศรษฐกิจระดับชุมชนในจังหวัดต่างๆ ได้เติบโตอย่างยั่งยืน การดำเนินการในช่วงไฮซีซั่นปลายปีถือเป็นจังหวะเวลาที่เหมาะสม เนื่องจากเป็นช่วงที่นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติมีแนวโน้มเดินทางพักผ่อนสูงสุด ทำให้สามารถสร้างผลกระทบเชิงบวกทางเศรษฐกิจได้อย่างมีนัยสำคัญ แผนการนี้จึงไม่เพียงแต่เป็นการกระตุ้นการเดินทาง แต่ยังเป็นการนำเสนอประสบการณ์ท่องเที่ยวในมุมมองใหม่ๆ ที่นักท่องเที่ยวอาจยังไม่เคยสัมผัส
เจาะลึกแผนยุทธศาสตร์ “เมืองน่าเที่ยว 2568” ของ ททท.
ยุทธศาสตร์ “เมืองน่าเที่ยว 2568” เป็นการยกเครื่องแนวคิดการส่งเสริมการท่องเที่ยวเมืองรองครั้งใหญ่ โดย ททท. ได้วางโครงสร้างและกลไกการขับเคลื่อนที่ชัดเจน เพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ ทั้งในมิติของเศรษฐกิจ สังคม และการสร้างแบรนด์การท่องเที่ยวที่ยั่งยืน
จาก “เมืองรอง” สู่ “เมืองน่าเที่ยว”: การปรับเปลี่ยนภาพลักษณ์ครั้งสำคัญ
การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญที่สุดประการหนึ่งคือการยกเลิกการใช้คำว่า “เมืองรอง” และแทนที่ด้วยคำว่า “เมืองน่าเที่ยว” การปรับเปลี่ยนนี้มีนัยสำคัญทางจิตวิทยาและการตลาดอย่างยิ่ง คำว่า “เมืองรอง” อาจสร้างความรู้สึกว่าเป็นตัวเลือกอันดับสอง หรือมีความสำคัญน้อยกว่าเมืองหลัก ในทางกลับกัน คำว่า “เมืองน่าเที่ยว” ให้ความหมายเชิงบวก สื่อถึงสถานที่ที่มีเสน่ห์ มีเอกลักษณ์ และน่าค้นหา การสื่อสารด้วยคำใหม่นี้จึงเป็นการเชิญชวนให้นักท่องเที่ยวเปิดใจและมองเห็นคุณค่าของจังหวัดเหล่านี้ในฐานะจุดหมายปลายทางหลักที่มีความน่าสนใจไม่แพ้ใคร การปรับภาพลักษณ์นี้ยังสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการผลักดันให้ทั้ง 55 จังหวัดในกลุ่มนี้กลายเป็นจุดหมายปลายทางที่สำคัญบนแผนที่การท่องเที่ยวของไทย
เป้าหมายทางเศรษฐกิจและตัวชี้วัดความสำเร็จ
ททท. ได้ตั้งเป้าหมายเชิงปริมาณที่ชัดเจนสำหรับปี 2568 เพื่อเป็นตัวชี้วัดความสำเร็จของโครงการ “เมืองน่าเที่ยว” โดยคาดการณ์ว่าจะสามารถสร้างรายได้รวมจากการท่องเที่ยวทั่วประเทศได้ถึง 1.17 ล้านล้านบาท ซึ่งเป็นตัวเลขที่สะท้อนถึงความคาดหวังในการฟื้นตัวอย่างเต็มรูปแบบของอุตสาหกรรม นอกจากนี้ยังตั้งเป้าหมายจำนวนนักท่องเที่ยวสะสมตลอดทั้งปีไว้ที่ 205 ล้านคน-ครั้ง (การนับจำนวนครั้งที่นักท่องเที่ยวเดินทาง) ตัวเลขเหล่านี้ไม่เพียงแต่เป็นเป้าหมายทางเศรษฐกิจ แต่ยังเป็นเครื่องมือในการประเมินประสิทธิภาพของแคมเปญและกลยุทธ์ต่างๆ ที่นำมาใช้ เพื่อให้สามารถปรับปรุงและพัฒนาแผนการดำเนินงานได้อย่างต่อเนื่อง
12 แคมเปญ Sub-Culture: ขับเคลื่อนการท่องเที่ยวสไตล์ใหม่
เพื่อเจาะตลาดนักท่องเที่ยวที่มีความสนใจเฉพาะกลุ่มและหลากหลายมากขึ้น ททท. ได้ริเริ่มแนวคิดในการสร้างสรรค์ 12 แคมเปญท่องเที่ยวที่อิงตามวัฒนธรรมย่อย หรือ Sub-Culture แทนที่จะใช้การตลาดแบบกว้างๆ ที่เน้นสถานที่เพียงอย่างเดียว กลยุทธ์นี้จะมุ่งเน้นไปที่กิจกรรมและไลฟ์สไตล์ที่นักท่องเที่ยวสนใจเป็นพิเศษ เช่น กลุ่มนักท่องเที่ยวสายอาหาร (Foodies) กลุ่มผู้รักการผจญภัยและกิจกรรมกลางแจ้ง กลุ่มผู้ชื่นชอบศิลปะและงานฝีมือท้องถิ่น กลุ่มที่สนใจประวัติศาสตร์และโบราณคดี หรือกลุ่มที่ต้องการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Wellness) เป็นต้น การแบ่งแคมเปญตามความสนใจนี้จะช่วยให้การสื่อสารการตลาดมีความแม่นยำและตรงใจกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น และยังเป็นการกระตุ้นให้เกิดการเดินทางเพื่อแสวงหาประสบการณ์ใหม่ๆ ที่สอดคล้องกับตัวตนของนักท่องเที่ยวแต่ละคน
ททท. ชู 5 จังหวัดเมืองรองบูมไฮซีซั่นปลายปี 2568: คาดการณ์จังหวัดน่าสนใจ
แม้ว่าการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยจะยังไม่ได้ประกาศรายชื่อ 5 จังหวัด “เมืองน่าเที่ยว” ที่จะเน้นส่งเสริมเป็นพิเศษในช่วงไฮซีซั่นปลายปี 2568 อย่างเป็นทางการ แต่จากแนวโน้มการส่งเสริมการท่องเที่ยวและศักยภาพของแต่ละพื้นที่ สามารถคาดการณ์ถึงกลุ่มจังหวัดที่มีแนวโน้มจะได้รับการผลักดันเป็นพิเศษได้ โดยจังหวัดเหล่านี้ล้วนมีคุณสมบัติที่โดดเด่นและสอดคล้องกับแคมเปญ “เมืองน่าเที่ยว Year of Celebration” ที่กำลังจะเกิดขึ้น
หลักเกณฑ์การคัดเลือกและจังหวัดที่มีศักยภาพสูง
การคัดเลือกจังหวัดเป้าหมายมักจะพิจารณาจากหลายปัจจัยประกอบกัน เช่น ความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐานด้านการท่องเที่ยว แหล่งท่องเที่ยวที่มีเอกลักษณ์และเรื่องราวที่น่าสนใจ การเข้าถึงที่สะดวกสบาย ความหลากหลายของกิจกรรม และความพร้อมของชุมชนท้องถิ่นในการต้อนรับนักท่องเที่ยว จากปัจจัยเหล่านี้ ทำให้สามารถคาดการณ์รายชื่อจังหวัดที่มีศักยภาพสูงได้ดังต่อไปนี้
จังหวัดน่าน: มนต์เสน่ห์แห่งเมืองสโลว์ไลฟ์
น่านเป็นจังหวัดที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ด้วยบรรยากาศที่เงียบสงบ วัฒนธรรมล้านนาตะวันออกที่เปี่ยมด้วยเอกลักษณ์ และทิวทัศน์ของขุนเขาที่งดงาม จุดเด่นของน่านคือการท่องเที่ยวแบบสโลว์ไลฟ์ที่เปิดโอกาสให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสวิถีชีวิตชุมชนอย่างใกล้ชิด สถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ เช่น วัดภูมินทร์ ที่มีภาพจิตรกรรมฝาผนัง “กระซิบรักบันลือโลก” หรือการเดินทางขึ้นไปชมวิวบนดอยเสมอดาว ทำให้จังหวัดน่านเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการพักผ่อนและหลีกหนีจากความวุ่นวาย
จังหวัดแม่ฮ่องสอน: ดินแดนแห่งสายหมอกและวัฒนธรรมหลากหลาย
แม่ฮ่องสอน หรือที่รู้จักกันในนาม “เมืองสามหมอก” เป็นจังหวัดที่โดดเด่นด้วยธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์และวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ที่หลากหลาย โดยเฉพาะชาวไทใหญ่ การเดินทางบนเส้นทาง 1,864 โค้ง ถือเป็นประสบการณ์ที่ท้าทายและน่าจดจำสำหรับนักเดินทาง สถานที่ท่องเที่ยวอย่าง “ปางอุ๋ง” หรือโครงการพระราชดำริปางตอง 2 มีทิวทัศน์ที่สวยงามคล้ายกับต่างประเทศ นอกจากนี้ หมู่บ้านรักไทยที่รายล้อมด้วยไร่ชาและสถาปัตยกรรมแบบจีนยูนนาน ก็เป็นอีกหนึ่งแม่เหล็กที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาเยือน
จังหวัดลำปาง: นครแห่งรถม้าและอารยธรรมล้านนา
ลำปางเป็นจังหวัดที่ยังคงรักษากลิ่นอายของอดีตไว้ได้อย่างดีเยี่ยม และเป็นเพียงจังหวัดเดียวในประเทศไทยที่ยังคงมีรถม้าให้บริการนักท่องเที่ยวอย่างเป็นทางการ การท่องเที่ยในลำปางจึงเป็นการผสมผสานระหว่างประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม วัดพระธาตุลำปางหลวง ซึ่งเป็นวัดคู่บ้านคู่เมือง มีสถาปัตยกรรมที่งดงามและเป็นที่ประดิษฐานของ “เงาพระธาตุกลับหัว” อันน่าอัศจรรย์ นอกจากนี้ ลำปางยังขึ้นชื่อเรื่องเซรามิกและผลิตภัณฑ์จากดินเผา ซึ่งเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่นักท่องเที่ยวสามารถเรียนรู้และลงมือทำได้
จังหวัดอุดรธานี: ประตูสู่อีสานและมรดกโลก
อุดรธานีเป็นศูนย์กลางของภาคอีสานตอนบน มีความโดดเด่นทั้งในด้านธรรมชาติและประวัติศาสตร์ แหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงระดับโลกคือ “ทะเลบัวแดง” ที่อำเภอกุมภวาปี ซึ่งในช่วงฤดูหนาว ดอกบัวสายสีชมพูจะบานสะพรั่งเต็มบึงน้ำ สร้างทัศนียภาพที่งดงามตระการตา นอกจากนี้ยังมีแหล่งโบราณคดีบ้านเชียง ซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดย UNESCO เป็นสถานที่ที่นักท่องเที่ยวสามารถเรียนรู้เกี่ยวกับอารยธรรมยุคก่อนประวัติศาสตร์ได้
จังหวัดบุรีรัมย์: เมืองแห่งกีฬาและปราสาทหินโบราณ
บุรีรัมย์เป็นตัวอย่างของการเปลี่ยนผ่านจากเมืองรองสู่เมืองท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงระดับนานาชาติ โดยเฉพาะด้านการท่องเที่ยวเชิงกีฬา (Sports Tourism) จากการมีสนามแข่งรถระดับโลกและสโมสรฟุตบอลชั้นนำของประเทศ อย่างไรก็ตาม บุรีรัมย์ยังมีมรดกทางวัฒนธรรมที่ล้ำค่าคือ ปราสาทหินพนมรุ้ง และปราสาทเมืองต่ำ ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมขอมโบราณที่ยิ่งใหญ่และงดงาม การผสมผสานระหว่างความทันสมัยของโลกกีฬาและความขลังของอารยธรรมโบราณทำให้บุรีรัมย์เป็นจุดหมายปลายทางที่มีความหลากหลายและน่าสนใจอย่างยิ่ง
จังหวัด | จุดเด่นหลัก | กิจกรรมแนะนำ |
---|---|---|
น่าน | วัฒนธรรมล้านนาตะวันออก, ธรรมชาติ, สโลว์ไลฟ์ | ชมจิตรกรรมฝาผนังวัดภูมินทร์, พักโฮมสเตย์ที่สะปัน, ชมทะเลหมอกดอยเสมอดาว |
แม่ฮ่องสอน | ธรรมชาติบริสุทธิ์, ความหลากหลายทางชาติพันธุ์ | ล่องแพไม้ไผ่, เยือนหมู่บ้านรักไทย, เดินทางบนเส้นทาง 1,864 โค้ง |
ลำปาง | ประวัติศาสตร์ล้านนา, เอกลักษณ์เฉพาะตัว (รถม้า, เซรามิก) | นั่งรถม้าชมเมือง, สักการะพระธาตุลำปางหลวง, เที่ยวชมโรงงานเซรามิก |
อุดรธานี | ธรรมชาติอันซีน (ทะเลบัวแดง), แหล่งมรดกโลก | ล่องเรือชมทะเลบัวแดง, ศึกษาประวัติศาสตร์ที่บ้านเชียง, สักการะคำชะโนด |
บุรีรัมย์ | การท่องเที่ยวเชิงกีฬา, อารยธรรมขอมโบราณ | ชมการแข่งขันที่สนามช้างฯ, เยือนปราสาทหินพนมรุ้งและเมืองต่ำ |
บทบาทของผู้ว่าราชการจังหวัดและมาตรการสนับสนุนจากภาครัฐ
ความสำเร็จของโครงการ “เมืองน่าเที่ยว” ไม่ได้ขึ้นอยู่กับ ททท. เพียงหน่วยงานเดียว แต่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้นำในระดับจังหวัดและมาตรการสนับสนุนที่แข็งแกร่งจากรัฐบาล
ผู้ว่าฯ CEO: แม่ทัพขับเคลื่อนการท่องเที่ยวท้องถิ่น
รัฐบาลได้มอบนโยบายให้ผู้ว่าราชการจังหวัดทำหน้าที่เสมือนเป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) ของจังหวัดตนเอง โดยเฉพาะในด้านการท่องเที่ยว บทบาทนี้หมายถึงการที่ผู้ว่าฯ ต้องเป็นผู้นำในการวางยุทธศาสตร์ กำหนดทิศทาง และบูรณาการการทำงานของหน่วยงานต่างๆ ในพื้นที่ ทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างเป็นระบบ ผู้ว่าฯ จะต้องมีความเข้าใจในศักยภาพและจุดเด่นของจังหวัดตนเอง สามารถสร้างแบรนด์และนำเสนอเรื่องราวที่น่าสนใจเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว รวมถึงแก้ไขปัญหาและอุปสรรคต่างๆ ได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ แนวคิด “ผู้ว่าฯ CEO” นี้จะช่วยให้การขับเคลื่อนนโยบายจากส่วนกลางลงสู่ระดับท้องถิ่นเป็นไปอย่างมีพลังและเกิดผลเป็นรูปธรรม
สิทธิประโยชน์และโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ
เพื่อสร้างแรงจูงใจและลดภาระค่าใช้จ่ายให้กับนักท่องเที่ยว รัฐบาลได้เตรียมนำมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจด้านการท่องเที่ยวกลับมาใช้อีกครั้ง โดยเฉพาะโครงการที่เคยประสบความสำเร็จอย่าง “เราเที่ยวด้วยกัน” และอาจมีโครงการใหม่ๆ เช่น “เที่ยวไทยคนละครึ่ง 2568” มาตรการเหล่านี้จะมอบส่วนลดค่าที่พัก ค่าเดินทาง และค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว การผนวกสิทธิประโยชน์เหล่านี้เข้ากับการส่งเสริมการท่องเที่ยวใน “เมืองน่าเที่ยว” จะเป็นกลไกสำคัญที่ช่วยกระตุ้นให้เกิดการตัดสินใจเดินทางและเพิ่มการใช้จ่ายในพื้นที่เป้าหมาย ซึ่งจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจชุมชนโดยตรง
สรุปทิศทางการท่องเที่ยวไทยและโอกาสสำหรับเมืองน่าเที่ยว
กลยุทธ์การชู “เมืองน่าเที่ยว” เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวในช่วงไฮซีซั่นปลายปี 2568 ถือเป็นทิศทางที่สำคัญและสอดคล้องกับแนวโน้มการท่องเที่ยวโลกที่มุ่งเน้นประสบการณ์ที่แตกต่างและการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน การปรับเปลี่ยนภาพลักษณ์จาก “เมืองรอง” สู่ “เมืองน่าเที่ยว” พร้อมกับการตั้งเป้าหมายทางเศรษฐกิจที่ชัดเจน และการใช้แคมเปญที่เจาะลึกตามไลฟ์สไตล์ของนักท่องเที่ยว สะท้อนให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยในการยกระดับศักยภาพของจังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศ
การกระจายรายได้สู่ชุมชนท้องถิ่นและการสร้างความสมดุลให้กับระบบนิเวศการท่องเที่ยวของประเทศ คือหัวใจสำคัญของโครงการ “เมืองน่าเที่ยว” ซึ่งจะนำไปสู่การเติบโตที่ยั่งยืนในระยะยาว
ความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ผู้นำท้องถิ่น และภาคเอกชน รวมถึงการสนับสนุนผ่านโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ผลักดันให้แผนการนี้ประสบความสำเร็จ การส่งเสริมจังหวัดที่มีศักยภาพ เช่น น่าน แม่ฮ่องสอน ลำปาง อุดรธานี และบุรีรัมย์ จะเป็นต้นแบบในการพัฒนาจุดหมายปลายทางใหม่ๆ ต่อไปในอนาคต โครงการนี้จึงไม่เพียงแต่เป็นการสร้างความคึกคักให้กับการท่องเที่ยวในช่วงปลายปี แต่ยังเป็นการวางรากฐานที่แข็งแกร่งให้กับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทย เพื่อให้สามารถเติบโตได้อย่างมั่นคงและกระจายประโยชน์ไปสู่ทุกภาคส่วนอย่างแท้จริง