วิตามินอี ตัวช่วยบำรุงผิว ลดเลือนริ้วรอยช่วยชะลอความแก่ก่อนวัย เพราะสุขภาพเป็นเรื่องสำคัญเสมอของผู้คนทุกเพศทุกวัย คนที่รักสุขภาพจึงมักเลือกรับประทานอาหารเสริม เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารอย่างเพียงพอ
โดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุที่ร่างกายเริ่มเสื่อมสภาพ ที่ควรรับประทานอาหารเสริมสำหรับผู้สูงอายุ เพื่อเสริมวิตามินแร่ธาตุต่าง ๆ อาทิ แคลเซียม วิตามินดี วิตามินบี วิตามินซี และวิตามินอี ช่วยบำรุงสุขภาพให้แข็งแรงและชะลอความเสื่อมของเซลล์ โดยวิตามินอีเป็นอาหารเสริมที่ได้รับความนิยมรับประทานในคนวัยทำงานและผู้สูงอายุ สำหรับผู้ที่สนใจแต่ไม่รู้จะเลือกซื้อยี่ห้อไหนดี วันนี้ Promotions ได้คัดสรรวิตามินอีจากยี่ห้อที่น่าเชื่อถือมาแนะนำกัน พร้อมข้อมูลที่ควรรู้ก่อนรับประทานวิตามินอี
รู้หรือไม่ Vitamin E เป็นวิตามินที่ร่างกายสร้างเองไม่ได้
วิตามินอี (Vitamin E) ถือเป็นสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย ทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ แต่ร่างกายไม่สามารถสร้างวิตามินอีเองได้ โดยสามารถพบได้ในอาหารจำพวกถั่ว ผักผลไม้ ไข่ น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันมะกอก น้ำมันดอกทานตะวัน และอื่น ๆ ดังนั้นจึงควรรับประทานอาหารเหล่านี้เป็นประจำ ซึ่งผู้ที่ขาดวิตามินอีจะรู้สึกชาตามร่างกาย และเกิดความผิดปกติเกี่ยวกับระบบประสาท ระบบเลือด และระบบสืบพันธุ์ ในขณะเดียวกับหากร่างกายได้รับวิตามินอีมากเกินอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงได้ อาทิ คลื่นไส้ อาเจียน อ่อนเพลีย และท้องเสีย จึงควรรับประทานในปริมาณที่เหมาะสมเพื่อให้ได้ประโยชน์ต่อสุขภาพ
ประโยชน์ของวิตามินอี ช่วยเรื่องอะไรบ้าง
- ช่วยทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ชะลอความแก่การเสื่อมสภาพของเซลล์
- ช่วยป้องกันการแตกของเม็ดเลือด รวมถึงป้องกันการอุดตันของเม็ดเลือด
- ช่วยป้องกันโรคโลหิตจาง โรคอัลไซเมอร์ โรคปวดปลายประสาท
- ช่วยบำรุงตับและเสริมสร้างระบบกล้ามเนื้อ
- ช่วยเพิ่มการมองเห็นและลดความเสี่ยงเป็นโรคต้อกระจก
- ช่วยบรรเทาอาการตะคริวหรือขาตึง
- ช่วยลดความเสี่ยงเป็นโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด อัมพฤกษ์และอัมพาต
- ช่วยบำรุงผิวพรรณให้เรียบเนียนกระจ่างใส ป้องกันผิวจากแสงแดด
วิธีกินวิตามินอีที่ถูกต้อง ร่างกายได้รับประโยชน์สูงสุด
ควรรับประทานวิตามินดีหลังมื้ออาหารทันที เนื่องจากวิตามินอีสามารถละลายได้ดีในไขมัน จึงทำให้ร่างกายสามารถดูดซึมได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ทั้งนี้ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนรับประทาน เพื่อให้เหมาะสมกับปริมาณที่ร่างกายควรได้รับ เพราะหากรับประทานมากเกินไปอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพได้
วิตามินอีอยู่ในอาหารชนิดใดบ้าง?
วิตามินอีนั้นสามารถพบได้ในอาหารชนิดต่าง ๆ ทั้งผลไม้ ผักใบเขียว ธัญพืช และน้ำมันพืช อาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินอีนั้น ได้แก่
- ถั่วอัลมอนด์
- เฮเซลนัท
- มะม่วง
- ผลกีวี่
- มะเขือเทศ
- ผักโขม
- น้ำมันมะกอก
- น้ำมันทานตะวัน
ทุกวันนี้ เราสามารถพบสารสกัดวิตามินอีได้ทั้งในรูปแบบ แคปซูล ยาเม็ด ครีมทาผิว และน้ำมันวิตามินอี แต่สำหรับคนส่วนใหญ่แล้ว การรับประทานอาหารที่มีสารอาหารครบถ้วนนั้น ทำให้ร่างกายได้รับวิตามินอีในปริมาณที่เพียงพออยู่แล้ว นอกจากนี้ อาหารเสริมวิตามินอีอาจไม่สามารถมอบประโยชน์ได้เหมือนกับสารต้านอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติในอาหารได้
ผลกระทบจากการขาดวิตามินอี มีอะไรบ้าง?
- การสลายของเม็ดเลือดแดง
- ภาวะกล้ามเนื้อสูญเสียการประสานสัมพันธ์กัน
- ปฏิกิริยาตอบสนองที่ต่ำกว่าปกติ
- ภาวะสูญเสียการรับรู้การเคลื่อนไหวของข้อต่อและความรู้สึกสั่นสะเทือน
- ภาวะโลหิตจางที่เกิดจากการแตกทำลายของเม็ดเลือดแดงในเด็กอ่อน
- ปัญหาเกี่ยวกับการสืบพันธุ์ เช่น การแท้งบุตร และ ภาวะการคลอดก่อนกำหนด
สิ่งที่ควรรู้ก่อนรับประทานวิตามินอี
ถึงแม้วิตามินอีจะมีประโยชน์อันหลากหลายต่อสุขภาพ การรับประทานวิตามินอีอาจมีความเสี่ยงต่อผู้ที่มีโรคประจำตัวบางชนิด หรือผู้ที่กำลังจะเข้ารับการผ่าตัดได้
- โรคหัวใจและโรคหลอดเลือดสมอง การได้รับวิตามินอีในปริมาณที่มากเกินไปนั้นอาจมีผลข้างเคียงต่อผู้ที่เป็นโรคหัวใจและหลอดเลือดสมอง ดังนั้น ผู้ที่มีโรคหัวใจหรือโรคหลอดเลือดสมองควรปรึกษาแพทย์ก่อนทานอาหารเสริมวิตามินอี
- การผ่าตัดและทันตกรรม หากต้องได้รับการผ่าตัด ควรหยุดรับประทานอาหารเสริมวิตามินอีก่อนการผ่าตัดอย่างน้อยเวลา 2 สัปดาห์ หรือตามที่แพทย์แนะนำ เนื่องจากวิตามินอีเพิ่มความเสี่ยงของของการเลือดออก และเลือดหยุดไหลช้า
- การตั้งครรภ์และให้นมบุตร หากอยู่ระหว่างการตั้งครรภ์ พยายามที่จะตั้งครรภ์ หรืออยู่ระหว่างช่วงให้นมบุตร ควรปรึกษาแพทย์ก่อนตัดสินใจรับประทานอาหารเสริมวิตามินอี
- โรคอื่น ๆ หากคุณมีปัญหาสุขภาพอื่น ๆ เช่น ภาวะแพ้อาหารหรือยา ภาวะขาดวิตามินเค ภาวะเลือดออกผิดปกติ โรคเบาหวาน โรคมะเร็ง หรือโรคอื่น ๆ ควรปรึกษาแพทย์ก่อน
ปริมาณของวิตามินอีที่ร่างกายควรได้รับต่อวัน คือเท่าไหร่?
ปริมาณของวิตามินอีที่ร่างกายของวัยรุ่นและผู้ใหญ่ต้องการคืออย่างน้อย 15 มิลลิกรัมต่อวัน ปริมาณของวิตามินอีที่ผู้ใหญ่สามารถรับได้สูงสุดต่อวันนั้นอยู่ที่ 1,000 มิลลิกรัม ในขณะที่เด็กอายุระหว่างหนึ่งถึงสามปีสามารถรับวิตามินอีได้สูงสุด 200 มิลลิกรัมต่อวัน ทั้งนี้ ปริมาณของวิตามินอีดังที่กล่าวมานี้ ไม่เป็นที่แนะนำในการรับประทานนอกจากแพทย์เป็นผู้สั่งเท่านั้น
ผลข้างเคียงของการได้รับวิตามินอีในปริมาณที่มากเกินไป
การได้รับวิตามินอีในปริมาณที่มากเกินไป สามารถก่อให้เกิดผลข้างเคียง เช่น
อาการแพ้:
- ระคายเคือง ผื่นผิวหนัง ลมพิษ ปากบวม ลิ้นบวม ใบหน้าบวม คอบวม
- ภาวะเลือดออกผิดปกติ ปัสสาวะสีแดงหรือสีเข้ม อาเจียนเป็นเลือด หรือ รอยช้ำที่ผิดปกติ
- อ่อนเพลีย
- อ่อนแรง
- ปวดศีรษะ
- คลื่นไส้
- ลำไส้เป็นตะคริว
- ท้องเสีย
- ตาพร่ามัว
วิตามินอี หรือสารต้านอนุมูลอิสระตัวช่วยชะลอความแก่ก่อนวัยมีประโยชน์ต่อสุขภาพหลากหลาย มีส่วนช่วยในการบำรุงสมอง ดวงตา ผิวหนัง และเซลล์ในร่างกายของเรา วิตามินอีสามารถพบได้ตามธรรมชาติในอาหารหรืออาจจะเป็นอาหารเสริมวิตามินอี ข้อควรระวังในการรับประทานวิตามินอี หากได้รับในปริมาณที่มากเกินไป สามารถก่อให้เกิดผลข้างเคียงได้ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนรับประทานอาหารเสริมวิตามินอี
ที่มา: promotions.co.th