เมืองเซวตา (Ceuta) หรือเมืองซับตะฮ์ เมืองเปิดที่เชื่อมโยงสองทวีป ตั้งอยู่บริเวณชายฝั่งด้านใต้ของช่องแคบยิบรอลตาร์ มีเนื้อที่ประมาณ 28 ตารางกิโลเมตร ซึ่งประเทศโมร็อกโกได้อ้างกรรมสิทธิ์เหนือเมืองนี้รวมทั้งเมลียาและหมู่เกาะเล็ก ๆ ของสเปนในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน และเป็นเมืองที่วัฒนธรรม 4 ประการผสมผสานเข้าด้วยกัน ได้แก่ คริสต์ อิสลาม ฮินดู และยิว
นครปกครองตนเองเซวตามีสถานะอยู่ระหว่างเมืองทั่วไปกับแคว้นปกครองตนเองในประเทศสเปน ก่อนหน้าที่จะได้รับสิทธิ์ในการปกครองตนเองนั้น เมืองนี้เคยขึ้นอยู่กับจังหวัดกาดิซในแคว้นปกครองตนเองอันดาลูซิอามาก่อน
เซวตาเป็นส่วนหนึ่งของดินแดนในสหภาพยุโรป และเคยเป็นเมืองท่าปลอดภาษีก่อนที่จะสเปนจะเข้าร่วมสหภาพยุโรปในปี พ.ศ. 2529 ปัจจุบันเมืองนี้มีระบบอัตราภาษีต่ำภายในระบบการเงินยุโรป (European Monetary System)
สถานที่ท่องเที่ยวที่ไม่ควรพลาดในเมืองเซวตา ได้แก่ กำแพงหลวงและอุทยานการเดินเรือเมดิเตอร์เรเนียน และหากคุณชื่นชอบกีฬาทางน้ำ คุณจะต้องชอบชายฝั่งของเซวตาอย่างแน่นอน คุณจะได้พายเรือคายัค ชมเมืองด้วยรถบ้าน และชมเต่าทะเล โลมา และปลาวาฬ แต่แนวชายฝั่งนี้เป็นที่นิยมเป็นพิเศษสำหรับนักดำน้ำ เนื่องจากเป็นจุดที่น้ำในมหาสมุทรแอตแลนติกและทะเลเมดิเตอร์เรเนียนมาบรรจบกัน จึงส่งเสริมให้พืชและสัตว์ต่างๆ เติบโตอย่างต่อเนื่อง
ท่องเที่ยวไหนดี และสถานที่ท่องเที่ยวห้ามพลาด
1. อาสนวิหารเซวตา (Ceuta
Cathedral)
การผสมผสานทางวัฒนธรรม: จากมัสยิดสู่อาสนวิหาร
สร้างขึ้นทับบนซากปรักหักพังของมัสยิดหลัก โครงการนี้ได้รับการพัฒนาในศตวรรษที่ 17 และสร้างขึ้นในศตวรรษที่ 18 และได้รับการสร้างขึ้นใหม่ในที่สุดระหว่างปี 1948 ถึง 1961
ภาพจาก: en.wikipedia.org
ภายในมีรูปปั้นและภาพวาดจากศตวรรษที่ 18 ผสมผสานกับผลงานของศิลปินร่วมสมัยที่มีชื่อเสียง เช่น Castillo Lastrucci และ Minarro ควรกล่าวถึง Virgen Capitana จากศตวรรษที่ 15 เป็นพิเศษ ซึ่งเป็นผลงานของโปรตุเกส โดยมีประตูทางเข้าแบบนีโอคลาสสิกที่ทำด้วยหินอ่อนสีดำ แผงสำหรับนักร้องประสานเสียงอยู่บริเวณส่วนหน้าของโบสถ์ แท่นบูชาแบบบาโรกในโบสถ์ซานติซิโมก็เป็นผลงานที่สวยงามและมีความสำคัญอย่างยิ่งเช่นกัน
2. ห้องอาบน้ำแบบอาหรับ (เซวตา) (Arab Baths)
มรดกของห้องอาบน้ำแบบโรมัน
ภาพจาก: commons.wikimedia.org
ห้องอบไอน้ำหรือที่เรียกว่า “ฮัมมาน” ในยุคนั้น (ศตวรรษที่ 12 และ 13) ไม่เพียงแต่ใช้เพื่อสุขอนามัยเท่านั้น แต่ยังใช้เพื่อการชำระล้างทางศาสนาหรือพิธีกรรมทางสังคมและการพักผ่อนหย่อนใจอีกด้วย ห้องอาบน้ำเหล่านี้ประกอบด้วยหลายส่วน ได้แก่ ลานภายในซึ่งเป็นบริเวณที่เข้าถึงพื้นที่ต่างๆ ห้องเย็น ห้องอุ่น ห้องร้อน ซึ่งเป็นส่วนที่ซับซ้อนที่สุด เนื่องจากให้ลมร้อนเข้ามาเพื่อเพิ่มอุณหภูมิ และพื้นที่บริการซึ่งประกอบด้วยเตาอบ หม้อต้ม และโรงเก็บฟืน
3. อุทยานการเดินเรือเมดิเตอร์เรเนียน (Mediterranean Maritime Park)
ภาพจาก: www.parquemaritimo.es
อุทยานการเดินเรือเมดิเตอร์เรเนียนเป็นผลงานของ César Manrique ที่เสียชีวิตไปแล้ว โดยเริ่มดำเนินการในปี 1992 และแล้วเสร็จในอีก 2 ปีต่อมา สวนแห่งนี้มีลักษณะคล้ายกับทะเลสาบ Martiánez ใน Puerto de la Cruz สวนแห่งนี้มีพื้นที่ประมาณ 56,000 ตารางเมตร และเป็นที่ตั้งของทะเลสาบน้ำเค็ม 2 แห่ง ห้องอาบแดด สวน และสิ่งอำนวยความสะดวกด้านบริการต่างๆ มีปราสาทอันโดดเด่นอยู่ตรงกลาง ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากกำแพงเมืองเซวตา ภายในมีคาสิโน ร้านอาหาร และไนท์คลับ นอกจากนี้ยังมีท่าจอดเรืออยู่ติดกับอุทยานการเดินเรือเมดิเตอร์เรเนียน
4. วิหารซานตามาเรียเดอาฟริกา (Santa María de África)
เพื่อเป็นเกียรติแก่นักบุญอุปถัมภ์ของเซวตา
ภาพจาก: www.anoventa.com
อาคารสไตล์บาร็อคที่มีผังพื้นเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าและทางเดินกลางสามทาง มีแท่นบูชาในโบสถ์น้อยหลัก โดยมีรูปเคารพของพระแม่แห่งแอฟริกาเป็นจุดเด่น ส่วนล่างของโบสถ์น้อยมีห้องใต้ดินที่ฝังศพของขุนนางและนักบวช รวมทั้งลูกสาวของดยุคแห่งเมดินาเซลี
5. กำแพงป้องกัน Murallas
Reales
ภาพจาก: es.wikipedia.org
ป้อมปราการแห่งนี้มีเชิงเทิน คูน้ำ เขื่อนกันคลื่น และระเบียงหลายจุด องค์ประกอบเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นในยุคกลาง เนื่องจากเซวตามีบทบาทเป็นเมืองชายแดน เมื่อโปรตุเกสได้รับชัยชนะ กำแพงหลวงจึงถูกสร้างขึ้นสองส่วน รวมทั้งป้อมปราการ คูน้ำสำหรับเดินเรือ และสะพานชัก ป้อมปราการบางส่วนยังคงตั้งตระหง่านอยู่ เช่น ป้อมปราการโคราซาอัลตา บันเดรา และมายอร์กินส์
6. พระราชวังแห่งการชุมนุม (Palacio de la Asamblea)
ศาลากลางเมืองเซวตา
ภาพจาก: es.wikipedia.org
อาคารที่มีการออกแบบอย่างงดงามและสง่างามนี้ได้รับการเปิดตัวในปี พ.ศ. 2470 โดยพระเจ้าอัลฟองโซที่ 13 และพระนางวิกตอเรีย ยูจีนีอา ภายในมีห้องบัลลังก์สไตล์ฝรั่งเศส ตกแต่งด้วยจิตรกรรมฝาผนังโดยศิลปิน Mariano Bertuchi ยังมีห้องประชุมที่ตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์สไตล์เรเนสซองส์ของสเปนอีกด้วย
ที่มา www.spain.info