Shopping cart

       เมื่อเข้าสู่ในปี 2023 หลายองค์กรในบ้านเราได้มีการปรับเปลี่ยนวิธีทำงานใหม่ด้วยกลยุทธ์ต่าง ๆ ให้กลายเป็น New Normal ในการใช้ชีวิตของเราทุกคนรวมถึงรูปแบบการทำงานที่ได้เกิดการปรับเปลี่ยนไปจากปีที่แล้วอย่างสิ้นเชิง เช่น Remote Working หรือ การใช้ Automation Tools และซอฟต์แวร์ต่าง ๆ เข้ามาช่วยควบคุมวิธีทำงานให้พนักงานทำงานได้อย่างสะดวกมากขึ้น

      บทความนี้เราเลยขอมาอธิบาย 5 เทรนด์ทำงานในองค์กรปี 2023 ที่ HR ทุกคนควรต้องศึกษาเพื่อนำไปปรับใช้กับการทำงานในองค์กรของคุณให้สอดคล้องกับโลกอนาคตที่กำลังจะมาถึง 

 

5 เทรนด์การทำงานในปี 2023

       ลองมาดูกันว่า 5 เทรนด์ทำงานในปี 2023 จะมีเทรนด์อะไรที่สำคัญในการให้ทีม HR ได้นำไปปรับใช้ในการสร้างองค์กร จัดการด้านบุคลากร ให้เหมาะสมสำหรับปี 2023 ที่กำลังจะมาถึงนี้

  1. Hybrid Working จะกลายเป็นเรื่องปกติ

      Hybrid Working คือ รูปแบบทำงานแบบผสมโดยที่บริษัทจะให้พนักงานสามารถทำงานทั้งจากที่ออฟฟิศและจากที่บ้านได้แทนที่จะทำงานที่ออฟฟิศ 100% เหมือนวิธีทำงานรูปแบบเดิมผ่านการใช้งานซอฟต์แวร์ช่วยทำงานทั้งซอฟต์แวร์ด้านการสื่อสารในองค์กรและซอฟต์แวร์ด้าน Task Management ทำงานแบบ Hybrid Working ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากมาตั้งแต่ช่วงต้นปี 2020 ที่เกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19

      ซึ่งมาในปี 2023 เทรนด์ทำงานแบบ Hybrid Working จะกลายเป็นเรื่องปกติของของงานในองค์กรสมัยใหม่เนื่องจากสามารถสร้างประสิทธิภาพทำงานได้ใกล้เคียงหรือมากกว่าทำงานในรูปแบบเก่า ช่วยเพิ่มความคิดสร้างสรรค์ในการสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ และช่วยทำให้พนักงานได้อิสระในการใช้ชีวิตมากขึ้น ซึ่งทำให้รูปแบบงาน Hybrid Working กลายเป็นสิ่งที่คนทำงานในยุคปัจจุบันต่างมองหาจากองค์กรที่ต้องการร่วมงานมากขึ้นด้วย 

 

  1. DEI คือสิ่งที่พนักงานต้องการ

       DEI หรือ Diversity, Equity และ Inclusion ถ้าแปลตรงตัวก็คือความหลากหลาย ความเสมอภาค และการรวมกลุ่มเป็นหนึ่งเดียวในองค์กร ซึ่งเรื่องของ DEI นี่เองที่เป็นสิ่งที่พนักงานโดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ทุกคนล้วนตามหาจากองค์กรที่อยากร่วมงานด้วย 

       เช่น การยอมรับความหลากหลายของคนทำงานในองค์กรที่ไม่จำกัดเฉพาะเรื่องเพศ แต่ยังรวมถึงช่วงวัย เชื้อชาติ ภาษา ประสบการณ์ ที่มีความต่างกันในองค์กร ซึ่งต้องยอมรับว่าการสร้างวัฒนธรรมองค์กรแบบ DEI ทำให้สภาพแวดล้อมที่ทำงานมีความสุข พนักงานจะรู้สึกว่าองค์กรยอมรับในสิ่งที่พวกเขาเป็น ทำให้ทำงานมีความคิดสร้างสรรค์มากขึ้น สามารถคิดค้นนวัตกรรมใหม่ ๆ และยังช่วยเพิ่มแนวทางการแก้ปัญหาในที่ทำงานแต่ละวันได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วย

 

  1. บทบาทของ Manager ที่เปลี่ยนให้ทันสมัยมากขึ้น

       หากพูดถึงบทบาทงานของ Manager หรือในที่นี้อาจหมายถึง Team Lead ด้วยในงานรูปแบบเดิมหลายคนคงนึกถึงหน้าที่ในการควบคุมงานหรือการดูแลภาพรวมของโปรเจ็กต์แต่เพียงอย่างเดียว แต่ในเทรนด์ทำงานของปีหน้าส่วนของบทบาทหน้าที่ของ Manager จะมีการอัปเกรดให้ทันสมัยมากขึ้น

       ซึ่งบทบาทที่จะเพิ่มเข้ามาก็คือเรื่องของการสนับสนุน Career Path ของคนในทีมหรือพนักงานที่อยู่ใต้การดูแลของ Manager แต่ละคนเช่น มีการจัด Sessions สอนความรู้ที่จำเป็นต่อสายอาชีพนั้น ๆ จาก Manager หรือการมี Sessions 1-1 ในทุกไตรมาสเพื่ออัปเดตงาน รับฟังปัญหาที่เกิดจากของงาน และช่วยแก้ปัญหาอย่างทันท่วงที แสดงให้เห็นถึงบทบาทของ Manager ที่มีความใส่ใจต่อพนักงานทุกคนในทีมไม่ใช่แค่เรื่องงานแต่เพียงอย่างเดียว

 

  1. EVP ที่พนักงานต้องการคือเวลาทำงานต่อสัปดาห์ที่น้อยลง

      EVP หรือ Employer Value Proposition คือคุณค่าที่นายจ้างอยากมอบให้กับพนักงานซึ่งทำให้เขาเหล่านั้นยังคงทำงานอยู่กับองค์กรต่อไป โดยในปี 2023 ที่กำลังจะมาถึงนั้นเทรนด์ในด้าน EVP ที่พนักงานส่วนใหญ่ล้วนต้องการมากที่สุดคือการลดเวลาทำงานต่อสัปดาห์ให้น้อยลง

       เพราะในยุคที่เทคโนโลยี Automation Tools ต่าง ๆ เข้ามามีบทบาทต่องานขององค์กรมากขึ้น นั่นย่อมช่วยลดระยะเวลาทำงานของแรงงานมนุษย์ได้มาก (แถมยังลดโอกาสเกิดข้อผิดพลาด ลดต้นทุนได้เยอะกว่าด้วย) ดังนั้นเทรนด์ในการที่องค์กรจะมอบ EVP ให้กับพนักงานได้ดีที่สุดสำหรับเทรนด์นี้ก็คือการหยิบจับเทคโนโลยี ซอฟต์แวร์ต่าง ๆ มาใช้ในองค์กรให้เกิดประโยชน์สูงสุดและหันมาใส่ใจกับความเป็นอยู่ สภาพจิตใจของพนักงานในองค์กรมากขึ้นนั่นเอง

       อย่างไรก็ตามเทรนด์นี้อาจจะไม่เหมาะสำหรับบางธุรกิจ บางองค์กร การนำไปปรับใช้ควรขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแต่ละบริษัท

 

  1. พนักงานวัย Gen-Z จะต้องการ ‘ประสบการณ์ทำงานรูปแบบใหม่’

      ประสบการณ์ทำงานรูปแบบใหม่ กำลังจะกลายเป็นสิ่งที่พนักงานช่วงวัย Gen-Z ต้องการมากที่สุดในปีหน้า โดยคำว่า ประสบการณ์ทำงานรูปแบบใหม่ ในที่นี้ก็หมายถึงเทรนด์ทำงานใหม่ ๆ ที่เราได้กล่าวไปทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสวัสดิการที่ตอบโจทย์ความต้องการสมัยใหม่มากขึ้น, บรรยากาศในที่ทำงานที่เอื้อต่อความคิดสร้างสรรค์, วัฒนธรรมองค์กรที่ให้อิสระในการใช้ชีวิตของพนักงานในช่วงวัย Gen-Z มากขึ้น หรือแม้แต่การสนับสนุนทุก Career Path ของพนักงานแต่ละคนอย่างเท่าเทียม เพื่อให้พนักงานในช่วงวัย Gen-Z ที่เป็นช่วงวัยในการตามหาตัวตนในการทำงานรู้สึกถึงการเติบโตที่องค์กรของคุณมอบให้

 

      จากเทรนด์ทำงานในปี 2023 จะเห็นได้ชัดเลยว่าสิ่งที่เปลี่ยนไปและกำลังจะเป็นกระแสต่อโลกการทำงานขององค์กรมากขึ้นก็คือเรื่องขององค์กรที่ต้องหันมาใส่ใจความเป็นอยู่และพัฒนาทักษะทำงานให้พนักงานเพิ่มมากขึ้น 

       ซึ่งทั้งหมดก็ล้วนเป็นหน้าที่ของทีม HR ในองค์กรที่ต้องคอยดูแลสร้างสรรค์สวัสดิการใหม่ ๆ และสร้างวัฒนธรรมองค์กรให้เป็นบริษัทสมัยใหม่มากขึ้น ก็จะเป็นสิ่งที่จะทำให้องค์กรของคุณดึงดูดพนักงานที่มีคุณภาพและเพิ่ม Employee Retention รักษาพนักงานเก่าให้อยู่กับองค์กรต่อไป

 

 

ที่มา: thegrowthmaster.com

ใส่ความเห็น

มกราคม 2025
จ. อ. พ. พฤ. ศ. ส. อา.
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031